Close this window

ไทยศรีฯ เข้มจ่ายเบี้ยก่อนคุ้มครอง
ไทยศรีฯ เข้มจ่ายเบี้ยก่อนคุ้มครอง


ไทยศรี ประกันภัย เร่งปรับตัวรับมือกฎหมายใหม่ เรียกประชุมตัวแทนทำความเข้าใจเกณฑ์ "จ่ายเบี้ยก่อนคุ้มครอง" พร้อมหาเทคโนโลยีสนับสนุนการขาย ชี้ยอดเบี้ยปีนี้ทะลุเป้า กวาดกำไรเกิน 100 ล้านบาท

นายนที พานิชชีวะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยศรีประกันภัย จำกัด เปิดเผยว่า ในช่วงไตรมาสที่ 4 บริษัทจะเน้นการปรับตัวเพื่อให้สอดรับกับกฎหมายใหม่ที่จะเริ่มบังคับใช้ใน วันที่ 1 ม.ค. 2552 ทั้งเรื่องแนวทางการตรวจสอบและกำกับแนวใหม่ (early intervention), การดำรงเงินกองทุนตามระดับความเสี่ยง (Risk-Based Capital) และเงื่อนไขจ่ายเบี้ยก่อนคุ้มครอง (Cash Before Cover) โดยเฉพาะกฎเกณฑ์สุดท้ายที่บริษัทจะต้องประชุมตัวแทนเพื่อทำความเข้าใจและหา แนวทางช่วยเหลือให้ตัวแทนทำงานได้สะดวกยิ่งขึ้น

"เงื่อนไขการจ่ายเบี้ยก่อนคุ้มครองนับเป็น การพัฒนาในด้านที่ดี ซึ่งเริ่มใช้กับประกันภัยรถยนต์ก่อน ซึ่งบริษัทเองคงต้องปรับตัวในแง่การทำความเข้าใจกับตัวแทน รวมถึงจัดเตรียมเทคโนโลยีเกี่ยวกับระบบชำระเงินและวิธีออกหลักฐานการชำระ เงินให้สอดคล้องกับเงื่อนไขดังกล่าว เพื่อสนับสนุนให้ตัวแทนทำงานได้คล่องตัวภายใต้กฎหมายใหม่ ซึ่งบริษัทต้องพยายามทำให้ทันก่อนบังคับใช้ให้ได้ ขณะที่กฎหมายใหม่ด้านอื่นๆ ไม่น่ากระทบกับไทยศรีฯ เพราะเงินกองทุนของบริษัทที่มีอยู่สูงถึง 1,200 ล้านบาท จึงไม่จำเป็นต้องเพิ่มทุน"

สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานของบริษัทในปี นี้ นายนที กล่าวว่า บริษัทน่าจะ มีเบี้ยประกันภัยรับรวมสูงกว่าเป้าหมาย 1,800 ล้านบาท ขณะเดียวกันกำไรสุทธิในปีนี้คาดว่าน่าจะสูงกว่าเป้าหมาย 100 ล้านบาท เช่นกัน เนื่องจากในช่วง 6 เดือนแรก บริษัทมีกำไรสุทธิแล้วกว่า 60 ล้านบาท และโดยปกติในช่วงครึ่งปีหลังจะมีกำไรไม่น้อยกว่าครึ่งปีแรก

สาเหตุที่ทำให้กำไรสุทธิในปีนี้สูงกว่า เป้าหมาย เนื่องจากบริษัทควบคุมต้นทุนได้ดีขึ้น โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่ลดลงจาก 28-29% ลงมาเหลือ 24% ขณะที่อัตราความเสียหายต่อเบี้ยประกันภัย (Lose Ratio) ลดลงมาอยู่ที่ 52-53% ซึ่งเป็นผลจากการคัดเลือกงานที่มีคุณภาพมากขึ้น และราคาน้ำมันที่พุ่งสูง ทำให้ผู้บริโภคประหยัดน้ำมันโดยใช้รถน้อยลงและไม่ขับรถเร็ว โอกาสเกิดอุบัติเหตุจึงลดลงไปด้วย

นายนที กล่าวอีกว่า กำไรในปัจจุบันมาจากการรับประกันภัยและจากการลงทุนอย่างละ 50% ซึ่งปกติแล้วกำไรจากการลงทุนควรจะอยู่ในระดับ 60% แต่เนื่องจากปีนี้สภาพตลาดการลงทุนในประเทศไทยไม่เอื้ออำนวย บริษัทต้องระมัดระวังมากขึ้น โดยเน้นลงทุนในพันธบัตรเป็นหลัก ส่วน 2 กองทุนส่วนบุคคลที่ตั้งขึ้นมาเพื่อลงทุนในหุ้นและลงทุนในต่างประเทศนั้น ก็ชะลอไว้ลงทุนในจังหวะที่เหมาะสมกว่านี้เช่นกัน

http://www.matichon.co.th/prachachat
ที่มาของข่าว :: นสพ.ประชาชาติธุรกิจ ฉบับที่ 4034 8 ก.ย. 2551
หากท่าน สนับสนุนการนำเสนอข่าวสาร เมื่ออ่านเสร็จแล้ว ขอความกรุณาแสดงความคิดเห็นด้วยครับ จักเป็นพระคุณอย่างยิ่ง ขอบคุณครับ
[url=http://vgetone.com/Promotion.html]คลิ๊กที่นี่ ดูโปรโมชั่น[/url]

หรือโทร.
คุณวินทัต ตันยะกุล
Express Center
Tel. : 0 2939 0923
Mobile : 089 255 8749
Fax : 0 2939 0919
www.vgetone.com
โดย: jigcho   วันที่: 8 Sep 2008 - 20:34