Close this window

บทความ Mazda 626 Cronos copy มาอีกที่ครับ
Mazda 626 Cronos นำเข้าทั้งคัน แค่ 2-3 แสน
มาสด้า 626 โครโนส เปิดตัวครั้งแรกในประเทศญี่ปุ่นด้วยรุ่นซีดาน 4 ประตูในช่วงกลางปี 1991 และอีกประมาณ 2 เดือนก็เปิดตัวรุ่นแฮทช์แบก 5 ประตู โดยใช้ชื่อ EFINI MS-6 จากนั้นในปี 1993 จึงบุกเมืองไทยในแบบนำเข้าพร้อมกันทั้ง 2 รุ่นตัวถัง

รถยนต์เกือบทุกรุ่นของมาสด้า ไม่ค่อยได้รับความนิยมแบ่งรุ่นด้วยรหัสตัวถัง แต่มักระบุด้วยชื่อรุ่นที่มาจากโรงงาน หรือชื่อที่เล่นที่ตั้งขึ้นเองและเข้าใจกันในวงการช่างมากกว่า เช่น 626 รุ่นก่อนหน้าโครโนสก็มีชื่ออย่างไม่เป็นทางการว่า '626 ทีทีแอล' มาจากการใช้ช่วงล่างแบบปีกนกคู่สัมพันธ์
ส่วน 626 ที่นำเสนอในครั้งนี้ก็มีชื่อเฉพาะต่อท้ายว่า 'โครโนส' เวลาบอกรุ่นเพื่อซื้ออะไหล่หรือซื้อขาย มักเข้าใจได้ตรงกัน ไม่คลาดเคลื่อน โดยทางผู้จำหน่ายพยายามไม่เรียกว่า 626 มากนักเพื่อไม่ให้ดูซ้ำเหมือนรุ่นเดิมที่ชื่อเสียงชักจะตกลงไปแล้ว แต่เน้นเฉพาะคำว่า โครโนส ให้คนทั่วไปเรียกสั้นๆ เท่านี้

โครโนส ยังคงใช้แนวทางการออกแบบเหมือนๆ 626 รุ่นที่ผ่านมา แต่ในด้านรูปลักษณ์นั้นชัดเจนว่าไม่คล้ายกันเลย คือ ตัวถังเป็นทรงลิ่มแบนเพรียว ไม่มีเหลี่ยมสัน เต็มไปด้วยด้วยความโค้งมนกลมกลืนตลอดคัน ทั้ง 2 รุ่นใช้ตัวถังหลักครึ่งคันส่วนหน้าร่วมกัน แตกต่างที่รายละเอียดปลีกย่อยเล็กน้อย ฝากระโปรงหลังของรุ่น 5 ประตูเป็นสปอยเลอร์ในตัวแบบ BUILT IN พร้อมติดตั้งไฟเบรกดวงที่ 3

ไฟหน้าแบบฮาโลเจนและสปอตไลต์แบบโปรเจกเตอร์ ถูกรวมไว้ในโคมเดียวกันทรงเรียว ไฟเลี้ยวหน้าและหลังเป็นแบบเปลือกนอกขาวมาเลย แต่ด้านข้างยังเป็นสีเหลือง ทั้ง 2 รุ่นใช้ล้อแม็กลายเดียวกันแบบ 5 ก้าน ขนาด 14 นิ้ว โดยตลอดอายุตลาดไม่มีการปรับโฉมภายนอกเลย

มิติตัวถังรุ่น 4 ประตู ยาว 4,685 มิลลิเมตร กว้าง 1,750 มิลลิเมตร สูง 1,400 มิลลิเมตร ระยะห่างฐานล้อ 2,610 มิลลิเมตร ส่วนรุ่น 5 ประตูเตี้ยกว่า 10 มิลลิเมตร คือมีความสูง 1,390 มิลลิเมตร น้ำหนักรวมประมาณ 1,200 กิโลกรัม

ภายในห้องโดยสารยังไม่มีถุงลมนิรภัยแบบรถยนต์รุ่นใหม่ๆ แต่ก็ปลอดภัยด้วยโครงสร้างตัวถังนิรภัย ออกแบบด้วยคอมพิวเตอร์ พร้อมคานเหล็กลดแรงกระแทกในประตูทั้ง 4 บาน เข็มขัดนิรภัยแบบ 3 จุด 4 ตำแหน่ง คู่หน้าปรับสูง-ต่ำได้ 5 ระดับ และ 2 จุด 1 ตำแหน่ง แผงหน้าปัดออกแบบให้ลาดเท เพื่อป้องกันไม่ให้วางสิ่งของ สะดวกสบายด้วยครูสคอนโทรล เบาะหลังของรุ่น 5 ประตูสามารถพับลงเป็นระดับเดียวกับพื้นห้องเก็บของด้านท้าย เพิ่มเนื้อที่บรรทุกสัมภาระ


ช่วงแรกบุกตลาดด้วยเครื่องยนต์รหัส KS-DE แบบเบนซิน 4 สูบเรียง ทวินแคม 16 วาล์ว ความกว้างกระบอกสูบ 83 มิลลิเมตร ช่วงชัก 92 มิลลิเมตร ความจุ 1,991 ซีซี อัตราส่วนการอัด 9.0 : 1 กำลังสูงสุด 115 แรงม้า ที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 17.3 กก.-ม. ที่ 4,500 รอบ/นาที

หลังจากทำตลาดประมาณ 2 ปี จึงเพิ่มรุ่น วี6 2.0 ใช้เครื่องยนต์รหัส KF-ZE บล็อกเดียวกับแลนติส วี6 เป็นแบบ 6 สูบ ทวินแคม 24 วาล์ว ความกว้างกระบอกสูบ 78 มิลลิเมตร ช่วงชัก 69.6 มิลลิเมตร ความจุ 1,995 ซีซี อัตราส่วนการอัด 10.0 : 1 กำลังสูงสุด 145 แรงม้า ที่ 6,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 18.2 กก.-ม. ที่ 4,800 รอบ/นาที

ระบบส่งกำลังมีให้เลือกทั้งเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ หรืออัตโนมัติ 4 จังหวะ พร้อมโหมด POWER, NORMAL และ HOLD MODE พร้อมระบบ AUTO SHOFT LOCK ช่วยป้องกันอุบัติเหตุจากการเข้าเกียร์โดยไม่ตั้งใจ

ระบบบังคับเลี้ยวแบบแร็กแอนด์พิเนียนพร้อมเพาเวอร์ ช่วงล่างแบบอิสระ 4 ล้อ ด้านหน้าแม็กเฟอร์สันสตรัต ปีกนกล่างรูปตัว A พร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลังปีกนกคู่สัมพันธ์ TTL (TWIN TRAPEZOIDAL LINK) ระบบเบรกแบบดิสก์ 4 ล้อ พร้อมเอบีเอสแบบ 4 เซ็นเซอร์ 3 แชนแนล ทุกรุ่นใช้ล้อแม็กขนาด 6 X 14 นิ้ว ยางขนาด 195/65 R14

จุดเด่นของรถยนต์รุ่นนี้ คือ ราคามือสองที่ไม่แพงไปกว่ารถยนต์ระดับเดียวกันปีเดียวกัน เช่น นิสสัน เซฟิโร ขับเคลื่อนล้อหลัง หรือฮอนด้า แอคคอร์ด อุปกรณ์มาตรฐานภายในที่จำเป็นก็มีให้ครบครัน ประสิทธิภาพของช่วงล่างในด้านการเกาะถนนก็เด่นกว่าคู่แข่งอยู่พอสมควร ไม่โคลงในความเร็วสูง แต่ยังให้ความนุ่มนวลดีในช่วงความเร็วต่ำ ระบบเบรกแบบดิสก์ 4 ล้อ ด้านหน้ามีครีบระบายความร้อน พร้อมเอบีเอสป้องกันล้อล็อก ไว้ใจได้สบาย

อะไหล่มีหลายทางเลือก ทั้งของแท้จากศูนย์บริการ ของเทียบจากวรจักร และของมือสองจากเชียงกง ราคาอาจแพงกว่ายี่ห้ออื่นในหลายชิ้น และอาจต้องควานหาบ้าง แต่พอจะมีครบทั้งอะไหล่ตัวถัง ช่วงล่าง และเครื่องยนต์


การบำรุงรักษาหรือซ่อมแซม สามารถใช้บริการตามอู่ทั่วไปที่ได้มาตรฐาน เพราะไม่มีระบบที่ซับซ้อน

จุดด้อยอีกอย่างหนึ่ง คือ พื้นที่ภายในห้องโดยสารค่อนข้างแคบ เบาะหลังทำเป็นหลุมสำหรับ 2 ที่นั่ง ตรงกลางยกเป็นสัน ถ้าจะนั่งตรงกลางก็ไม่สะดวกนัก แต่ก็มีเข็มขัดนิรภัยแบบ 2 จุดเตรียมไว้ให้ และถ้าคนนั่งหลังตัวสูงสักหน่อย ศีรษะอาจติดเพดานได้

ก่อนตัดสินใจซื้อควรทดลองขับดูก่อนว่า พอใจกับความแรงหรือไม่ แต่ก็อย่าเพิ่งดูถูกว่า 115 แรงม้าจะอืดอาด เพราะถ้าทดลองขับแล้วอาจงงว่าอัตราเร่งดีเกินตัวเลขแรงม้า ถ้าไม่ใช่คนเท้าหนักมาก แนะนำให้ซื้อรุ่น 4 สูบ เพราะมีรถยนต์สภาพสวยๆ ให้เลือกมาก ไม่ต้องข้ามไปเลือกรุ่น วี6 ที่มีรถยนต์ให้เลือกน้อย มีราคาแพงและซ่อมก็แพงกว่า อะไหล่ก็หายาก ไม่ว่าจะเป็นเครื่องยนต์รุ่นใด ส่วนใหญ่จะเป็นตัวถังแบบ 5 ประตูมากกว่า 4 ประตู

มาสด้า 626 โครโนส ซีดานระดับกลาง เด่นที่ช่วงล่างและเบรกที่มั่นใจได้ในความหนึบ เครื่องยนต์ทนทาน ไม่ซับซ้อน การประกอบและวัสดุเนี๊ยบตามแบบฉบับรถยนต์นำเข้า แต่ห้องโดยสารแคบไปนิด จะน่าใช้ก็ต่อเมื่อไม่นั่ง 5 คนบ่อยๆ และได้รถยนต์สภาพดีๆ มา เพราะจุดด้อย (เพียงเล็กน้อย) อยู่ที่การซ่อมหรือการหาอะไหล่จะไม่ค่อยสะดวก และราคาไม่ถูกเหมือนรถยนต์ประกอบในประเทศหรือรุ่นตลาดๆ เตรียมเงินไว้มากหน่อย เวลาต้องซ่อม แต่ก็ไม่ถึงกับกระเป๋าฉีก


<<< กลับไปหน้าหลัก
โดย: น้ำพุ_   วันที่: 7 Apr 2009 - 13:52


 ความคิดเห็นที่: 1 / 5 : 443631
โดย: น้ำพุ_
ขอโทษด้วยครับ ถ้าใครเคยอ่านแล้ว หรือว่า post ผิดหัวข้อ ...แต่ผมชอบ 626 cronos มากครับ
อยากให้คนที่ตัดสินใจจะซือ ได้ลองอ่านดูครับ
วันที่: 07 Apr 09 - 13:54

 ความคิดเห็นที่: 2 / 5 : 443632
โดย: น้ำพุ_
MAZDA 626



จากหนังสือยานยนต์ เล่ม 377 ประจำเดือน ตุลาคม – พฤศจิกายน 2540







ตัวใหม่ที่เพิ่งแกะซองพลาสติคล่าสุดไปเมื่อวันที่ 9 กันยายน ที่ผ่านมานี้ เป็นเหตุให้ตัวเก่าที่ออกมากลายเป็นอดีตไป นับตั้งแต่ “626” เจนเนอรเรชั่นแรกซึ่งเป็นรถขับเคลื่อนล้อหน้าเผยโฉมออกมาให้เห็นกันเมื่อปี 1982 ซึ่งหลังจากนั้นอีกหนึ่งปีในช่วงหน้าร้อนก็มีโอกาสเข้ามาซ่าในเมืองไทย โดยมีตั้งแต่ตัว 4 ประตูซีดาน 5 ประตูแฮทช์แบ็ครวมทั้งแซมไปด้วยบอดี้ 2 ประตู คูเป้ ซึ่งมีให้เห็นไม่กี่ล็อคเท่านั้น



ตัวเจนเนอเรชั่นที่ 2 ถือกำเนิดขึ้นมาประมาปี 87 เหมือนเดิมครับปี 88 ถึงมีโอกาสได้เข้ามาสร้างชื่อในเมืองไทยอีกครั้ง บอดี้เป็นไมเนอร์เชนจ์โดยเปลี่ยนเฉพาะด้านหน้ากับด้านหลังเท่านั้นรวมไปถึงเครื่องยนต์ตัวใหม่รหัส “F” 8” ขนาด 1.8 ลิตร จากนั้นในปี 90 ก็เปลี่ยนเครื่องยนต์ใหม่เป็น “FE” ขนาด 2.0 ลิตร แต่ก็ไม่ได้รับความนิยมเท่าที่ควร และแล้วเจนเนอเรชั่นที่ 3 ก็ได้ฤกษ์เปิดตัวเมื่อปี 91 ปรับและเปลี่ยนใหม่หมดทั้งนอกและในโดยแบ่งแยกออกเป็น 2 เวอร์ชั่นคือ “626” และ “CRONOS” ซึ่งแตกต่างกันเพียงที่เครื่องยนต์เท่านั้นแต่ว่าบอดี้เหมือนกัน ซึ่ง “CRONOS “ ซึ่งแตกต่างกันเพียงที่เครื่องยนต์เท่านั้นแต่ว่าบอดี้เหมือนกัน ซึ่ง “CRONOS” แท้ ๆ นั้นเมืองไทยไม่ได้นำเอาเข้ามาขาย แต่จะเอาตัว “626” เข้ามาแทนทั้งแบบ 4 และ 5 ประตู เครื่องตัวเดียวคือ 2.0 ลิตร แล้วตั้งชื่อให้สวยหรูว่า “626 CRONSO”



เจนเนอเรชั่นที่ 4 ที่เรากำลังพูดถึงนี้ถือว่าเป็นตัวล่าสุดเปิดตัวในเมืองไทยไล่เลี่ยกับเมืองนอก ซึ่งเมืองนอกนั้นเขาจะมีตัวเครื่องยนต์ 1.8 ลิตร ให้เลือกเล่น แต่เมืองไทยเอาเข้ามาเฉพาะตัว 2.0 ลิตร แยกออกเป็น 4 รุ่นด้วยกันคือตัว 4 ประตูซีดาน “GLX” เกียร์ธรรมดาราคา 886,000 บาท, เกียร์อัตโนมัติราคา 927,000 บาท, รุ่น 4 ประตู ซีดาน LIMITED เกียร์อัตโนมัติราคา 973,000 บาท และรุ่น 5 ประตู แฮทช์แบ็ค LIMITED เกียร์อัตโนมัติ ราคาทะลุขึ้นไปถึง 1,009,000 บาท







หน้าใหม่ พร้อมสัญลักษณ์ใหม่



อย่างที่เราบอกไปแล้วว่ารูปลักษณ์ของมันนั้นจะมีมาให้เลือกเล่นกัน 2 แบบ คือ ซีดาน และแฮทช์แบ็ค โดยทั้งสองรุ่นนี้จะมีความยาวเท่ากันคือ 4,575 มม. สั้นกว่ารุ่นเดิม อยู่ 120 มม. ความกว้าง 17,710 มม. หดลงไป 40 มม. แต่ความสูงนั้นจะเพิ่มขึ้นโดยตัวซีดานจะมากกว่าเจนเนอเรชั่นก่อน 30 มม. แต่ว่ายังคงยังความยาวของฐานล้อเท่าเดิมคือ 2,610 มม.



ภายนอกออกแบบใหม่โดยเฉพาะกระจังหน้าจะวางสัญลักษณ์ใหม่แปลกตากว่าเดิม้านหน้าเพิ่มไฟตัดหมอกให้สองดวง หลังคามีซันรูฟให้สามารถเปิดรับลมหรือควันพิษจากภายนอกรถได้ทุกรุ่น แก้มซ้าย-ขาย รวมทั้งด้านข้างของรถมีคิ้วยางกันกระแทก สปอยเลอร์หลังนั้นจะมีให้เฉพาะรุ่น 5 ประตูแฮทช์แบ็คเท่านั้น กระจกหลังม่ไล่ฝ้าอัตโนมัติ พร้อมไฟเบรกดวงที่ 3 ซึ่งให้เป็นมาตรฐานแล้วในประเทศที่พัฒนาการในด้านความปลอดภัย สำหรับโครงสร้างของตัวถังของ “NEW MAZDA 626” นั้นจะเป็นแบบโมโนค็อกโดยคอมพิวเตอร์ออกแบบ “MAI DAS” (MAZDA ADVANCED IMPACT-ENERGY DISTRIBUTION AND ABSORBTION STRUCTURE) คานในแนวประตูนั้นจะต่อเข้ากับคานขวางเป็นรูตัว “H” เพื่อป้องกันแรงกระแทกด้านข้าง ทั้งนี้ทาง “MAZDA” เองก็ออกมายืนยันว่าผลงานชิ้นนี้ได้ผ่านกระบวนการตามขั้นตอนมาตรฐาน “ISO 9010” มาแล้วด้วย







เครื่องยนต์ 2 ลิตร 4 สูบ 16 วาล์ว



เป็นตันกำลังในตระกูล “F-SE RIES” ซึ่งมีรหัสเครื่องยนต์ว่า “FSD 2.0/HO” มีการปรับปรุงจากเครื่องยนต์ตัวเก่า 3 จุดใหญ่ ๆ ก็คือ เป็นเครื่องแค็มคู่ , ระบบวาล์วเป็น 4 วาล์ว ต่อสูบ และจ่ายเชื้อเพลิงด้วยระบบอิเล็คทรอนิคส์โดยเป็นเครื่อง 4 สูบ “DOHC” มีเส้นผ่านศูนย์กลางกระบอกสูบวัดได้ 83 มม. ส่วนระยะช่วงชักอยู่ที่ 92 มม. อัตราส่วนกำลังอัดกระบอกสูบ 9.7 ต่อ 1 ลูกสูบเป็นแบบชายสั้นทำให้มีน้ำหนักเบากว่ารุ่นก่อนถึง 40 เปอร์เซ็นต์, ท่อร่วมไอดีเป็นอลูมิเนียมหล่อความยาวเท่ากันทั้ง 4 ท่อ วางไว้รวมกับแอร์โฟลว์มิเตอร์แบบขดลวดร้อย (HEATED WIRE-TYE) ที่ใช้เป็นตัววัดปริมาณของไอดี



สำหรับปริมาตรความจุกระบอกสูบสุทธิที่ทำออกมาได้นั้นคือ 1,991 ซีซี. พร้อมด้วยแรงม้า 100 กิโลวัต์พอดี หรือ คิดเป็น 136 PS-DIN ที่ 5,800 รอบ/นาที พร้อมกับแรงบิดสูงสุที่ได้คือ 178 นิว ตัน-เมตร ที่ 4,500 รอบ/นาที ถังน้ำมันที่เติมได้แต่เฉพาะเบ็นซินไร้สารตะกั่วจะได้ 64 ลิตร ซึ่งไมโครคอมพิวเตอร์ขนาด 16 บิท ของวเครื่องตระกูล “F” นี้จะทำให้อัตราส่วนผสมระหว่างอากาศกับเชื้อเพลิงในทุกความเร็วรอบคงที่อยู่ที่ 14.7 ต่อ 1 นอกจากนี้ยังมีระบบความคุมไอเสียย้อนกลับ “EGR” ที่ไม่ใช่ชื่อของแต่ง แต่มันจะหมายถึง ‘EXHAUST GAS RECIRCULATION” โดยจะใช้ระบบอิเล็คทรอนิคส์ควบคุมมอเตอร์ปิด-เปิดวาล์ เพื่อให้ไอเสียกับเข้าไปเผาไหม้ใหม่







ระบบกันสะเทือน



กันสะเทือนด้านหน้าของ “616” ใหม่นี้จะเป็นอิสระแม็คเฟอร์สันตรัท และปีนรูปตัว “A” ประกอกด้วยสตรัทคอยล์สปริง-ช็อค พร้อมเหล็กกันโคลงนอกจากนี้ที่ปีกนกจะมี “บู๊ช” เสริมเอาไว้ด้วยเพื่อให้มีความแข็งแกร่งในรับแรงด้านข้าง ส่วนจุดหมุนก็จะเสริมไว้ด้วยคานขวางเชื่อมตั้งฉากเพื่อรับแท่นว่างเครื่องยนต์และเกียร์อีกที



สำหรับกันสะเทือนหลังนั้นได้รับการออกแบบใหม่โดยยึดเอาระบบการทำงานระบบ “TTL” หรือว่าปีกนกคู่สัมพันธ์ ที่เคยสร้างชื่อให้รุ่นพี่ ๆ มาแล้วกลับมาใช้ แต่ว่าจะขยายปีกนกที่ว่านี้ออกเต็มความกว้าของตัวรถซึ่งแขนตัวหน้าจะยาว 550 มม. ตัวหลังจะยาว 580 มม. นอกจากนี้ยังมีกันโคลงซึ่งจะยึดติดอยู่กับช็อคอับผ่านลูกหมากต่างจากรุ่นก่อนที่ยึดติดอยู่กับแขนปีกนกหลัง



ระบบพวงมาลัยเป้นแบบเแร็คแอนด์พิเนี่ยม พร้อมเพาเวอร์ช่วยผ่อนแรงมีอัตราทดอยู่ที่ 17.8 ต่อ 1 หมุนจากซ้ายสุดไปขาวสุดได้ 3.1 รอบรัศมีวงเลี้ยวแคบสุดอยู่ที่ 5.2 เมตร ส่งกำลังด้วยระบบเกียร์ที่มีให้เลือกทั้งแบบธรรมดาและเกียร์อัตโนมัติ ซึ่งเราแจงไปแล้วว่าในตัวซีดาน LIMITED และแฮทช์แบ็คไม่มีเกียร์ธรรมดาให้เล่น ระบบเบรกเป็นแบบวงจนไขว้พร้อมหม้อลมเดี่ยว เป็นดิสค์ ทั้ง 4 ล้อโดยด้านหน้ามีครีบระบายความร้อยไดมิเตอร์ขนาด 258 มม. หลังจะเป็นขนาด 261 มม. พร้อมระบบ ABS เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ล้อเป็นอัลลอยขนาด 14 นิ้ว ยาง 185/65 R 14 ส่วนรุ่นที่มี “LIMITED” ต่อท้ายทั้ง 4 และ 5 ประตูจะให้ล้อขนาด 15 นิ้วพร้อมยาง 195/60 R 15











ภายในไฮแท็คเพียบ

มีอุปกรณ์ใส่มาให้เพียบ และหลายคนก็รู้กันดีด้วยว่าที่ราคาของ “MAZDA 626” ทะลุไปถึง 8 แสนปลาย ๆ ถึงล้านหน่อย ๆ นี้ก็เป็นเพราะอุปกรณ์ภายในเป็นส่วนใหญ่ ดูกันคร่าว ๆ ก็จะมีพวงมาลัยเพาเวอร์ปรับระดับสูงต่ำให้เข้ากับสรีระได้ เบาะหลังสามารถับแยกเพื่อเพิ่มเนื้อที่ได้หลายลักษณะ, กระจกไฟฟ้า, เซ็นทรัลล็อค, เครื่องเสียง, เครื่องปรับอากาศ รวมไปถึงถุงลมนิรภัยคู่ทั้งผู้โดยสารและคนขับรวมไปถึงถุงลมนิรภัยด้านข้างด้าย เว้นในรุ่นที่ไม่มี LIMITED ต่อท้าย จะมีให้เฉพาะด้านคนขับเท่านั้น ฯลฯ
วันที่: 07 Apr 09 - 13:54

 ความคิดเห็นที่: 3 / 5 : 443663
โดย: ถึกควายทุย
ขอบคุณครับสำหรับข้อมูล
มีความรู้ขึ้นอีกเยอะเลย
วันที่: 07 Apr 09 - 16:03

 ความคิดเห็นที่: 4 / 5 : 443720
โดย: เซนท์โซเฟียร์
หน้าอาติเคิล ที่หน้าแรกก็มีมั้ง ถ้าจำไม่ผิดนะ
วันที่: 07 Apr 09 - 18:55

 ความคิดเห็นที่: 5 / 5 : 443864
โดย: rat626___
อ่านเพลินเรยยย
วันที่: 08 Apr 09 - 09:52