Close this window

อยากทราบเกี่ยวกับแบตเตอรี่อะครับ
ไม่ทราบว่า แบต น้ำ กับ แบต แห้งต่างกันอย่างไรอะครับ ทำไม ราคาแบตแห้งถึงแพงกว่าแบตน้ำอะครับ แล้ว อายุ การใช้งาน ของ แบตแห้ง กับ แบตน้ำ ต่างกันมากไหมครับ แล้ว วิธีการดูแลรักษา ทำอย่างไรบ้างครับ thx ทุกท่านล่วงหน้าครับ
โดย: elmo   วันที่: 18 Aug 2009 - 21:05


 ความคิดเห็นที่: 1 / 6 : 496207
โดย: รตอ.คุณชายลี่@เชียงใหม่
ประเภทของแบตเตอรี่ชนิดตะกั่วกรด
แบตเตอรี่ชนิดตะกั่วกรดนั้นมีวิวัฒนาการมายาวนานมากนับ 100 ปี ซึ่งมีวิธีการจำแนกประเภทได้หลายวิธี
ในที่นี้ขอแบ่งตามคุณสมบัติการใช้งาน ได้ดังนี้

1. Conventional Battery (แบตเตอรี่ ชนิดต้องเติมน้ำกลั่น ตลอดเวลา ) :

เป็นแบตเตอรี่ที่อัตราการสูญเสียไอน้ำกรดค่อนข้างมาก ตลอดอายุการใช้งาน เนื่องจากแผ่นธาตุทำจาก
ตะกั่วพลวง (Lead Antimony) ทั้งแผ่นธาตุบวก และ แผ่นธาตุลบ ซึ่งแผ่นธาตุที่ทำจากตะกั่วพลวงจะมี
คุณสมบัติดังนี้ - มีความทนทานต่อความร้อนสูง - มีความทนทานต่อน้ำกรดสูง - มีความทนทานต่อการ
ประจุไฟฟ้าสูง (ความต้านทานภายในสูง) แต่ก็มีข้อด้อยในเรื่อง - มีการคายประจุไฟฟ้าเองรวดเร็ว
(Self Discharge เร็วมาก) ทำให้การขนส่ง และการเก็บรักษาได้ยาก - ทำให้การอัดประจุไฟฟ้าช้า
เนื่องจากมีความต้านทานภายในสูง ทำให้กระแสไหลเข้าได้ช้า) - เกิดความร้อนจากการชาร์จมาก
ทำให้มีการสูญเสียน้ำกรดค่อนข้างเร็ว - แบตเตอรี่เกิดการโอเวอร์ชาร์จได้ง่าย

2. Hybrid Battery (แบตเตอรี่ชนิดบำรุงรักษาน้อย) :

เป็นแบตเตอรี่ที่มีการพัฒนาเพื่อแก่ไขปัญหาหลักของแบตเตอรี่ชนิดแรก โดยการเปลี่ยนชนิดของ
แผ่นธาตุบวก เป็น ตะกั่วแคลเซียม (Lead Calcium) แต่แผ่นธาตุลบ ยังคงเป็น ตะกั่วพลวง
(Lead Antimony) ซึ่งเป็นผลทำให้แบตเตอรี่มีอัตราการสูญเสียไอน้ำกรดระหว่างการใช้งาน
ลดลง ทำให้ได้แบตเตอรี่ที่มีคุณสมบัติ

- แบตเตอรี่มีการคายประจุไฟฟ้าเองน้อยลงมาก
- แบตเตอรี่มีการสูญเสียไอน้ำกรดน้อยลง
- แบตเตอรี่เกิดการโอเวอร์ชาร์จน้อยลง
- แบตเตอรี่มีการประจุไฟฟ้าได้เร็วขึ้น

3. Maintenance Free Battery (แบตเตอรี่ชนิดไม่ต้องการบำรุงรักษา) :

เป็นแบตเตอรี่ที่พัฒนาขึ้นเพื่อตอบสนองการใช้งานของรถยนต์ และพฤติกรรมของผู้ใช้ที่ไม่มีเวลาในการ
ดูแลรักษารถยนต์ (หลาย ๆ ท่าน ไม่เคยเปิดฝากระโปรงรถยนต์ หรือ ไม่รู้แม้แต่วิธีการเติมน้ำกลั่น หรือ
รถบางคันเจ้าของรถยนต์ยังไม่รู้ว่าแบตเตอรีติดตั้งไว้จุดใดในรถยนต์ ก็มี) โดยแผ่นธาตุทั้งแผ่นธาตุบวก
และ แผ่นธาตุลบ จะเป็นชนิด ตะกั่วแคลเซียม (Lead Calcium) หรือตะกั่วเงิน (Lead Silver ) สำหรับ
แบตเตอรี่ชนิด Maintenance Free นั้นยังจำแนกได้ตามประเภทได้ดังนี้

a. Flood (ชนิดน้ำ) : แบตเตอรี่ประเภทนี้ เป็นแบตเตอรี่ที่เหมาะสมอย่างมากที่จะใช้ในประเทศ
เขตร้อนเนื่องจาก น้ำกรดยังคงสภาพเป็นของเหลวอยู่ จึงทำให้ทนต่อความร้อนสูง ได้ดี และก
็แบ่งประเภทได้อีก คือ

- ชนิดฝาเปิดได้ (Non-Seal Lead Acid Battery) ประเภทนี้แบตเตอรี่ยังคงมีการรั่วไหลของ
น้ำกรดออกมากัดกร่อนตัวรถยนต์ได้ และมีอัตราการสูญเสียน้ำกรดขึ้นอยู่กับระบบฝาปิด ซึ่งทำ
ให้แบตเตอรี่ยังคงต้องได้รับการเติมน้ำกลั่นบางแต่น้อยกว่าชนิด Hybrid

- ชนิดฝาปิดสนิท (Seal Lead Acid Battery) เป็นแบตเตอรี่ที่ปิดสนิททั้งหมด เพื่อต้องการ
ป้องกันการรั่วไหลของน้ำกรด อีกทั้งต้องการรักษาน้ำกรดไว้ภายในแบตเตอรี่ให้ได้นานที่สุด
ทำให้ป้องกันรถยนต์จากการกัดกร่อนของน้ำกรด ได้ดีมาก ซึ่งการผลิตแบตเตอรี่ชนิดนี้
จะต้องควบคุมคุณภาพของแผ่นธาตุโดยใช้เทคนิคการผลิตแผ่นธาตุแบบการรีดอัด ความหนา
แน่นสูง (Expansion Grid Technology) และคุณภาพของตะกั่วจะต้องเป็นตะกั่วบริสุทธิ์ เท่านั้น
จึงจะทำให้แบตเตอรี่มีความคงทนสูง

b. Gel (ชนิดเจล) : แบตเตอรี่ประเภทนี้ น้ำกรดภายในแบตเตอรี่ถูกเปลี่ยนสภาพให้เป็น เจล
(เพื่อลดปัญหาการรั่วไหลของน้ำกรดออกจากแบตเตอรี่ แต่ก็มีข้อเสียในเรื่องของการใช้งาน
ที่ไม่อาจเทียบได้กับแบตเตอรีชนิดน้ำกรด จึงทำให้ไม่มีการใช้แบตเตอรี่ชนิดเจล ในรถยนต์

c. Absorbent Glass Matt ; AGM Technology (ชนิดแห้ง ) : แบตเตอรี่ประเภทนี้ ได้รับการ
พัฒนาต่อมาจากชนิดเจล ซึ่งทำให้ได้แบตเตอรี่ ที่มีคุณภาพสูง และให้พลังไฟฟ้ามากกว่า
แบตเตอรีปรติมาก (High CCA) ซึ่งแบตเตอรี่ชนิดนี้จะใช้ แผ่นใยแก้วเป็นวัสดุพิเศษ ทำหน้าที่
เป็นฉนวนกันระหว่างแผ่นธาตุบวก และ แผ่นธาตุลบและแผ่นใยแก้วนี้ ก็ทำหน้าที่ในการดูดซับ
น้ำกรดทั้งหมดเอาไว้ภายในแบตเตอรี่ ทำให้ไม่มีการรั่วไหลของน้ำกรดออกจากแบตเตอรี่
แต่แบตเตอรี่ชนิดนี้จะมีข้อจำกัดในการใช้งานเช่นเดียวกับชนิดเจล คือ อุณหภูมีในการทำงาน
สูงสุด ไม่เกิน 55 องศาเซลเซียส หากใช้งานในที่ที่อุณหภูมิสูง เกินกำหนดต่อเนื่องเป็นเวลานาน
จะมีผลทำให้อายุแบตเตอรี่สั่นกว่าที่ควรจะเป็นได้


ดังนั้นการเลือกใช้แบตเตอรี่ จะต้องคำนึงถึงความเหมาะสมของการใช้งาน และ คุณลักษณะที่เราต้องการ
วันที่: 18 Aug 09 - 21:30

 ความคิดเห็นที่: 2 / 6 : 496233
โดย: elmo
ขอบคุณ ครับ ได้คววามรู้มากทีเดียว ครับ แต่ ยัง งง นิดนึงตรงที่ว่า ผมใช้แบตแห้ง แล้ว มัน ใช้ได้แค่ ปี กะ นิดนึง มันก็ หมด ผมรู้สึกว่ามันหมดเร็ซจังเลย เห้นคน ขาย บอกว่า แบตน้ำถูกกว่า แถม ยังใช้ได้ ตั้ง 3-5 ปี เลย สับสน ครับ ถ้าแบตน้ำดีกว่า ถูกกว่า แล้ว ทำไม แบตแห้ง ถึงแพงกว่า ทั้งที่ ใช้ได้ น้อยกว่า อะครับ ขอโทษที่ถามนะครับ แบบ ว่า เป้นความสงสัย ส่วนตัวอะ ครับ เพราะเปลี่ยนแบตคราวหน้าจะได้ ตัดสินใจถูกอะครับ
วันที่: 18 Aug 09 - 22:39

 ความคิดเห็นที่: 3 / 6 : 496240
โดย: Dillinger

ใช้ได้ ตั้ง 3-5 ปี เลย



ไม่น่าจะได้ตามคำโฆษณาของคนขายนะ ... เท่าที่ได้ยินมา ไม่ค่อยจะเกินสองปีกันซักเท่าไหร่เลย ยิ่งไม่ค่อยดูแล เช็คระดับน้ำ ปล่อยแห้ง นี่ก็ไปเอาง่ายๆ
วันที่: 18 Aug 09 - 22:44

 ความคิดเห็นที่: 4 / 6 : 496300
โดย: P*H*O*L
ของผลนี่ปาเข้าไป 2ปี ครึ่งแล้ว ว่าจะเปลี่ยนแต่ยังไม่มีตัง คราวหน้าว่าจะเปลี่ยนเป็นแบบเห้งเหมือนกัน
วันที่: 19 Aug 09 - 08:45

 ความคิดเห็นที่: 5 / 6 : 496385
โดย: ต่าย_พัฒนาการ 0860348872


พี่ลี่โคตรปึ้กเลยครับข้อมูลแน่นมาก
วันที่: 19 Aug 09 - 10:46

 ความคิดเห็นที่: 6 / 6 : 496476
โดย: elmo
ขอบคุณทุกท่านมากครับ ผมจะนำข้อมูลที่ได้ ตัดสินใจ ในการเปลี่ยน แบตลูกใหม่ครับ thx ทุกท่าน มากๆครับ
วันที่: 19 Aug 09 - 13:14