ผมก็รถเต็นท์เหมือนกันครับ รถเต็นท์ต้องดูตัวจริงเท่านั้นครับ ( ส่วนใหญ่ 80%สภาพแย่ครับยืนยัน ) แต่ของผมสภาพสมบูรณ์ มาก ๆ ครับคิดไม่ถึงว่าจะได้สภาพดีกว่าที่คิดไว้ซะอีก ยังมีหลงเหลืออยู่ อิอิ
วิธีดูรถนะครับ ท่านก็ดูจากสภาพภายนอกก่อนโดยเคาะตัวถังรอบๆรถว่าเป็นเสียงของเหล็ก จะใช้หลังมือก็ได้ครับ ( เสียงแก๊งๆ ใส ๆ ) หรือว่าเป็นเสียงทึบๆ ( ปุ๊ค ๆ )ของสีโป๊วถ้าเป็นจุดที่ไม่สำคัญและบริเวณไม่กว้างเช่นแก้ม ด้านข้าง ด้านท้ายหรือประตูก็ถือว่ายังยอมรับได้ครับ อันนี้เป็นเรื่องปกติการที่จะไม่เฉี่ยว ชนเลยเป็นไปได้ยากมากครับแต่ถ้าเจอด้านข้างหรือด้านหน้าเป็นหรือด้านท้าย"โดยเฉพาะหลังคาที่เป็นบริเวณกว้าง"(คว่ำแน่ๆ)ไม่แนะนำครับ
ขั้นแรกที่ดูก็ลองยืนหน้ารถแล้วก็มองดูรอยตะเข็บต่าง ๆ ว่ามีการบวมหมือนกันมั้ย ซ้าย-ขวา ไม่ว่าจะขอบคิ้ว ขอบกันชนต่าง ๆ เช่น ฝากระโปรงเวลาปิด ด้านนึงชิดมากแต่อีกด้านนึงห่างมากซะ.....อะไรอย่างนี้อ่ะครับ แบบนี้ก็แสดงว่ามีการชนมาแน่ ๆ แต่จะหนักหรือเบาก็ว่าไป เหมือนกันกับกระโปรงท้าย เช่นซ้าย - ขวา ระยะฝาปิดห่างเท่ากันมั้ยนะครับ
แล้วมาดูเรื่องสีรถว่ามีสภาพเรียบร้อยแค่ไหน มีตรงไหนที่พื้นสีเข้ม ซีดแตกต่างกันโดยจะเน้นไปที่สีของฝากระโปรงเทียบกับแก้มทั้งสองข้างถ้าสีไม่เหมือนกันแสดงว่ามีการทำสีมา(อาจจะจากการชนหรือไม่ชนก็ได้)แล้วจะนำทั้งหมดไปเทียบกับหลังคาและฝาท้ายแต่จะเน้นที่หลังคาครับ เพราะ ถ้าหลังคาถูกทำสีที่เกิดจากการชนคือการชนที่รุนแรงมากหรือคว่ำมาไม่น่าคบแน่ๆครับอันนี้จะดูที่ขอบยางของกระจกหน้าและกระจกหลังถ้าทำสีมาสีจะแตกตรงมุมขอบให้เห็น ดูความสม่ำเสมอของขอบประตูด้านบน-ล่างว่ามีเอียงหรือบิดหรือต่ำๆสูงๆหรือไม่ทั้งสี่บาน ซึ่งจุดนี้ค่อนข้างดูยาก ยังไงตอนดูก็รบกวนเปิดประตูพร้อมกันทั้ง 4 บานออกมาน่ะครับ(และประตูต้องปิด-เปิดง่ายด้วยนะครับ) แล้วลองดูคานต่าง ๆ โดยเฉพาะกระดูกงูมันเป็นชิ้นส่วนที่แข็งแรงมาก ๆ ครับ มันต้องไม่มีการบิด คด งอ โดยเด็ดขาด สังเกตุดูดีๆนะครับถ้าพบตรงจุดนี้ก็น่าจะเกิดเหตุรุนแรงมาแน่ ๆหยุดสนใจเลยครับ ส่วนตัวถ้าเจอสาดสีมาทั้งคันผมจะไม่เอารถคันนั้นครับ
ต่อมาก็จะเปิดดูที่ห้องโดยสารท่านลองเปิดพื้นให้ถึงพรมชั้นล่างสุดโดยเฉพาะตรงที่พักเท้าด้านหน้าทั้งสองข้างแล้วดมดูจะต้องไม่มีกลิ่นอับของความชื้นเหมือนซักผ้าตากไว้ในร่มเพราถ้ามีเป็นไปได้ว่าระบบแอร์รั่ว-มีการผุของเหล็กที่ผนังกั้นห้องโดยสารกับห้องเครื่องอาจมีการรื้อหรือยกเครื่องออกจากตัวรถแล้วประกอบไม่ดีจนมีน้ำรั่วเข้ามาได้(อาจจะซ่อมหรือชนมา)เชื่อไหมบางคันเจอน้ำใต้พรมเลยก็มี ถ้าเจอก็จบอย่าเอาเลย เดี๋ยวเสียใจภายหลัง
คราวนี้ลองบิดสวิทช์กุญแจดูสัญญานเตือนต่างๆต้องติดครบแล้วก็สตาร์ทเครื่องดูสัญญานเตือนทุกตัวต้องทำงานตามปกติถ้าไม่ปกติก็ดูอีกทีว่ารับได้หรือเปล่า ( เช่นรูปแบตเตอรี่อาจเป็นไปได้ถ้ารถจอดนานจนแบตหมดก็เป็นได้ ) จากนั้นก็จะเปิดอุปกรณ์ไฟฟ้าที่มีในรถทั้งหมดตัวไหนทำงาน ไม่ทำงานก็จำไว้นะครับเอาไว่ต่อรองราคาได้ด้วย อิอิ ต่อๆ เปิดค้างไฟหน้าไว้ที่ไฟสูงเปิดแอร์แรงสุด แล้วค่อยเปิดฝากระโปรงหน้า มาดูที่ห้องเครื่องในส่วนนี้ค่อนข้างสำคัญมาก ๆ นะครับอันแรกก็เปิดฝาหม้อน้ำทิ้งไว้ ( บางรุ่นไม่มีก็เปิดที่พักน้ำแทน ) จากนั้นก็เริ่มฟังเสียงและใช้มือกับที่ตัวเครื่องดูการสั่นสะเทือนที่จะบอกถึงความเรียบของเคื่องยนต์ในรอบเดินเบาต้องไม่มีการกระตุก การสั่นต้องต่อเนื่องอย่างสม่ำเสมอ ( ไม่ใช่สั่นบ้างหยุดบ้าง ) ฟังเสียงสายพาน - ลูกรอก - พัดลมต้องไม่ส่งเสียงจอ เจี้ยวจ้าวเกินพอดี ดูขอบห้องเครื่องด้านหน้า - ซ้าย - ขวาต้องมีร่องรอยของจุดเม็ดรอยอาร์คไฟฟ้าที่ใช้ในการประกอบ ( เป็นหลุมที่มีระยะห่างเท่าๆกันถ้ามีการชนสีโป๊วจะอุดรอยพวกนี้เป็นเรียบหมด )
จากนั้นก็ไปดูชุดโคมไฟหน้าว่าเรียบเสมอกับกับไฟเลี้ยวหรือเปล่ามีการปรับเอียงไว้หรือไม่ถ้าเอียงก็ปรับให้ตรงและเสมอเป็นปกติซะ เสร็จแล้วลองเดินไปด้านหน้าห่างจากรถสักประมาณ 10-15 เมตรแล้วหันมาดูไฟหน้ารถ ( ที่ท่านได้เปิดทิ้งไว้ที่ไฟสูง ) สังเกตุไฟทั้งสองข้างจะต้องมีความสูงที่ใกล้เคียงกันถ้าสูงข้างต่ำข้าง ( อันนี้ก็เหมือนตอนกลางคืนที่บางครั้งเราขับสวนคันอื่นไฟข้างนึงสูงอีกข้างนึงต่ำ )แต่ท่านได้ปรับโคมให้เสมอกันแล้ว อันนี้ร้อยทั้งร้อยบอกได้เลยชนด้านหน้าหรือเฉียงๆข้างใดข้างหนึ่งมาหลีกให้ห่างครับแบบนี้
คราวนี้กลับมาที่รถดึงสายคันเร่งๆเครื่องดูว่าเร่งดีหรือไม่ต้องไม่มีสะดุดหรือสำลักกน้ำมันและเสียงแขกของวาล์ว ( แก๊ก ๆ )ต้องไม่ดังจนน่าเกลียด ตอนนี้เครื่องร้อนแล้วก็จะมาดูน้ำหม้อน้ำหรือหม้อพัก ( ที่เปิดฝาทิ้งไว้แต่ทีแรก ) การไหลวนต้องไม่มีฟองอากาศ ( ยิ่งเร่งเครื่องฟองยิ่งใหญ่ขึ้น ) ถ้ามีแสดงว่าเครื่องเคยโอเวอร์ฮีตมาจนฝาสูบโก่งไม่ควรซื้ออย่างยิ่ง ถ้าผ่านก็จะก้มดูด้านล่างว่ามีน้ำแอร์หยดอย่างสม่ำเสมอดี ( ถ้าไม่มีหยดเลยก็ไม่ได้นะครับ ไม่ดีแน่ ๆ ) และต้องไม่มีอย่างอื่นหยดนอกจากน้ำแอร์จากนั้นก็ไปปิดอุปกรณ์ไฟฟ้าที่เปิดไว้แล้วดับเครื่องที่สำคัญคือระหว่างที่เช็คอยู่ถ้าคนขายไปดับเครื่องก็ไม่ดูต่อแล้วครับ ( แสดงว่าต้องการปกปิดบางอย่าง ) แล้วก็มาดูรอยรั่วของน้ำตามท่อน้ำหรือน้ำมันในระบบว่ามีใหม่ๆออกมาตรงไหนบ้าง ( อันนี้ไม่เท่าไหร่ครับ แต่เก็บข้อมูลเอาไว้ต่อราคา ) ดูตามจุดประกบต่างๆเช่นฝาครอบวาล์ว-เครื่อง-หัวเกียร์ว่ามีร่องรอยของสารซีลป้องกันรั่วหรืไม่ ( สีส้มหรือสีขาว )ถ้ามีก็แสดงว่าจุดนั้นๆมีการถอดซ่อมมาแล้ว ( เก็บเป็นข้อมูลไว้ต่อราคาอีกเช่นกัน ) รอซักพักแล้วก็มุดดูพวกลูกยางกันฝุ่น - กันโคลง - ยางหุ้มแร็คพวงมาลัยว่ามีจุดไหนชำรุดเสียหายหรือจาระบีรั่วหมดบ้าง จากนั้นก็ปิดฝาหม้อน้ำหรือหม้อพักเช็คระดับของเหลวทุกอย่างเช็คการยุบตัวของโช้คต้องไม่แข็งหรือนิ่มเกินไปและต้องไม่มีเสียงกระทบกันของเหล็ก จากนั้นก็ทดลองขับ ( ถ้าไม่ให้ลองขับก็ออกมาเลยครับไม่ต้องเอา ) ดูความสม่ำเสมอของอัตราเร่งต้องไม่กระตุก รอบเครื่องกับความเร็วต้องสัมพันธ์กันไม่ใช่รอบสูงแล้วแต่รถไม่วิ่งก็ใช้ไม่ได้ พยามหาถนนที่โล่งอัดและลากเกียร์ให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ที่ดีที่สุดคือต้องไม่มีการสะดุดของเครื่องเลยและการสับเปลี่ยนเกียร์ ( ธรรมดา ) จะต้องลื่นเข้าง่ายไม่มีเสียงโครกครากให้ได้ยินอันหมายถึงความเสื่อมสภาพของครัทช์หรือครัทช์ที่เคยไหม้มาก่อน จากนั้นก็รักษาความเร็วไว้ที่100-120แล้วเบรคแรงๆต้องไม่มีเสียงเอี๊ยดอ๊าด - อาการปัด - พวงมาลัยสั่น - รถสั่นทั้งคันต้องไม่มีให้เห็นถ้าเล็กน้อยก็ไม่เป็นไรพอรับได้ครับ ถ้าเป็นเกียร์ออโต้ก็จะเบรคจนรถหยุดเลยเครื่องต้องไม่ดับด้วยจากนั้นลองมองหาปั๊มก็จะเลี้ยวเข้าปั๊มน้ำมันหาที่โล่งหมุนพวงมาลัยซ้าย - ขวาสุด ( ทีละด้าน )แล้วเร่งเครื่องออกตัวแรง ๆ ต้องไม่มีเสียงก๊อก ๆ แก๊ก ๆ ของเพลาหรือลูกหมากนะครับ
ตลอกเวลาที่ขับที่หน้าปัดต้องไม่มีสัญญานอะไรกระพริบขึ้นมาและเกร์ความร้อนต้องนิ่งประมาณกลาง ๆ โดยไม่เลื่อนขึ้นลงจึงจะถือว่าเยี่ยม เมื่อออกจากปั๊มมาก็จะมองหาหมู่บ้านจัดสรรน่ะครับเจอปุ๊บก็เลี้ยวเข้าไปเลยหาช่องที่มีเนินปูนต์กันรถวิ่งเร็ว ๆ นั้นแหละครับ มองหน้าคนที่ขึ้นรถมากะเราด้วยแล้วอัดไม่ต้องเกรงใจมานนนเลยครับ อิอิ ประมาณ60ลุยยยยยย ทดสอบช่วงล่างซัก2-3จุดเพื่อทดสอบช่วงล่างจะต้องไม่มีเสียงดังของเหล็กกระทบกันให้ได้ยินแต่ถ้าเป็นเสียงทึบ ๆ ของโช้คหรือสปริงก็ปกติ จากนั้นก็เอารถไปคืนแล้วลงจากรถมาดูสภาพของยางว่าจะยังสามารถใช้งานต่อไปได้มากน้อยเพียงใด ( เพื่อเป็นข้อมูลต่อราคา งกเนอะ55555++++ )ถ้ายางมีกลิ่นเหม็นไหม้หนือสึกแบบดำอย่างเห็นได้ชัดและกดดูที่ดอกแข็งๆ ( ทั้งที่ยังร้อนอยู่ ) แสดงว่าหมดสภาพเพราะถึงแม้จะไปเซาะร่องยางมาการวิ่งดังกล่าวจะแสดงผลทันที เสร็จเอาข้อมูลที่เก็บไว้ว่ามีจุดไหนชำรุดเอาไปต่อรองราคากันครับ
การต่อรองการวางเงินจองให้ต่ำที่สุดเท่าที่จะทำได้เช่น 2-5 พัน ( ไม่ควรเกิน 1หมื่นบาท ) ยิ่งมีการเรียกเงินมัดจำสูงเท่าไหร่ยิ่งเป็นการส่อแววความไม่ซื่อสัตย์มากเท่านั้นนะครับ
ต้องตกลงกันก่อนว่าขอถ่ายภาพรถคันที่จะวางเงินมัดจำถ้าไม่ยินยอมก็ยกเลิกเลยครับ
ทำการถ่ายรูปรถคันนั้นด้วยกล้องธรรมดา ( ที่ใช้ฟิล์ม ) ทุกซอกทุกมุมให้ละเอียดและทำการล้างอัดทันที ( ไม่เกิน 1 วันหลังจากถ่าย ) พร้อมเก็บหลักฐานการล้างอัดรูปไว้ด้วยเพื่อเป็นการป้องกันการเปลี่ยนถ่ายอะไหล่ออกจากตัวรถและเป็นหลักฐานว่าจะมีการซ่อมหรือแก้ไขตามข้อตกลง ( อาจจะมีการใช้นิ้วหรือมือชี้ระหว่างถ่ายรูปในจุดที่ตกลงกันว่าจะแก้ไขให้เรียบร้อย )
อ้อ!อย่าลืมตกลงระบุลงในใบจองให้เรียบร้อยว่าค่าใช้จ่ายบางส่วนเช่นค่าโอน ใครจะเป็นคนจ่ายด้วยนะครับ ทางที่ดีวันที่ทำสัญญาซื้อ-ขายหรือเช่าซื้อและวันรับรถให้เป็นวันเดียวกันและให้เร็วที่สุดนับจากวันจองวันต่อวันยิ่งดีครับ
โดยส่วนตัวแล้วถ้าไม่ยึดติดกับค่านิยมป้ายแดงและยี่ห้อ และถ้าอยากได้รถดี ๆ ใช้งานในสภาพดีอย่าง MAZDA ราคาคุ้มค่าน่าลงทุน ซึ่งความคุ้มค่าของเงินที่จ่ายไปของแต่ละคนคงไม่เหมือนกันเพราะบางท่านก็อาจจะมองว่าการได้ยี่ห้อยอดนิยมมานั้นคือความคุ้มค่าแล้ว ส่วนมุมมองของผมคือการใช้งานจริงๆอย่างสบายใจไร้ปัญหากับการลงทุนที่ต่ำกว่าโดยตัดเรื่องค่านิยมของยี่ห้อและรถป้ายแดงออกไปครับ
อีกอย่างเปิดฝากระโปรงท้ายขึ้นมาก็ดู ( สังเกตุรอยของจุดเม็ดรอยอาร์คด้วยนะครับว่าเรียบร้อบมั้ย ยับยู่ยี่ มากมั้ยสังเกตุเปรียบเทียบทั้งสองข้างนะครับ ) แล้วก็เปิดผ้า พรม หรือไม้ที่ปิดไว้ ออกก็จะเห็นยางอะไหล่เอายางอะไหล่ออกมาเลยครับลองมองดูรายละเอียดต่าง ๆ ดูรอยเม็ดรอยอาร์คด้วยนะครับ มันจะต้องเรียงกันสวย ฯลฯ
ที่ว่ามาก็เป็นการดูรถมือสองเบื้องต้นนะครับ แต่ที่ว่ามาก็เป็นจุดสำคัญต่าง ๆ ที่เราต้องรู้ครับ