ไม่อยากตอบแบบนี้เลย ว่า ผม กำลังสงสัย คอยล์ท่านเอกกี้อยู่เหมือนกัน
เพราะถ้าแค่ไฟรั่วจากรอยแตกร้าว มันไม่ควรเลือกว่าร้อนหรือเย็น กระโดดได้เป็นกระโดดลงกราวนด์เลย
แต่ถ้าอะไรที่มีอุณหภูมิ สูงมาเกี่ยว ก็จะวิ่งไปหาอุปกรณืไฟฟ้ามาเกี่ยวข้องทุกที
ความร้อนสูง ความต้านทานก็สูงตาม เมื่อความต้านทานสูงไฟไปไม่สะดวก มันก็เหมือนท่อปะปา คือจะหาทางออกที่สะดวกที่สุด ที่มีการติดขัด ฝืดเคือง ฟิตแน่น ..... เอ่อ ไม่ใช่แระ
เอาใหม่ ในเมื่อไฟฟ้ามีแรงดันเหมือนน้ำในท่อปะปา มันก็จะหาช่องทางที่สะดวกที่สุดสำหรับตัวมัน แต่ไม่เป็นที่พึงประสงค์ของตัวเรา ออก
กรณีนี้ ผมว่าอาจมี2 สาเหตุ ซ้อนกันอยู่
การที่มันวิ่งย้อนออกตามรอยแตกของโรเตอร์นี้เป็นปลายเหตุ จากพอเครื่องร้อน ความต้านทาน ทางที่มันควรจะไป สูง ไปไม่สะดวก มันคงมองดูแล้ว ลงกราวนด์มันตรงนี้แหละ สะดวกกว่าน่ะครับ
ไม่รู้จะช่วยได้ไหม ถ้าลองจับ ค่าความต้านทานของสายหัวเทียนแต่ละเส้นดู ว่าค่าเป็นเท่าไหร่ (ธรรมชาติสายไฟ ค่ายิ่งน้อยยิ่งดี) ได้ค่าที่วัดจดไว้ แล้ว ลองไปขอวัด กับรถคันอื่นที่ไม่มีปัญหา มาเปรียบเทียบ แต่ต้องเทียบสายต่อสายที่ยาวเท่ากันนะครับ ความยาวแตกต่างค่าที่ได้ก็จะต่างกันบ้างเล็กน้อย
ตัวคอลย์ ถ้าเป็นเครื่องรุ่นเก่าๆที่คอยล์แยกไว้ เมื่อร้อน จะทำให้ไฟไม่ออกมาตามที่ควรจะเป็น
แต่ เมื่อดับปุ๊บ มักสตาร์ทติดทันทีไม่ได้ ต้องรอให้เย็นก่อน
เคยมีพวกแก๊งค์หน้าด้าน ตระเวณขับปิ๊กอัพ บนวิภาวดีสมัยก่อน เจอรถคันไหนเสียก็ทำทีเข้าไปช่วยดู แล้วมันก็บอกทุกคันว่าคอยล์ร้อนจี๋ เสียแล้วแน่ๆ ใครที่เข้าข่ายไม่รู้เรื่องเครื่องยนต์และไม่คิดที่พยายามจะเรียนรู้ก็เสร็จมันทุกราย
"ผมมีท้ายรถ ตัวละ 1000-2000 ก็ว่าไปแล้วแต่มันจะเรียก ชั่วโมงนั้นใครก็อยากให้รถวิ่งได้ ยิ่งไม่(พยายาม)รู้เรื่องรถตัวเองด้วย ก็ต้องจ่าย
ทีนี้มันก็เอาคอยล์ท้ายรถมัน(ขับปิ๊กอัพ ดีเซล แต่เจือกมี คอยล์เบนซิน น่าจะสังหรณ์ใจบ้าง)ซึ่งไม่ร้อน มาเปลี่ยนใส่ให้ แน่นอน สตาร์ทติด และวิ่งไปได้อีกไกลพอ ที่จะย้อนมาตามกระทืบมันไม่เจอ เพราะ ตัวที่มันใส่ให้ก็น่าจะเป็นตัวที่ถอดมาจาดเหยื่อรายก่อนหน้า
และคอยล์ที่ถอดจากรถเราไปก็จะรอให้เย็น แล้วก็ถูกนำไปใส่ในเหยื่อรายต่่อไป
ปัจจุบันไม่มีคอยล์แยกแบบสมัยก่อน พวกนี้เลยเปลี่ยนรูปแบบไปครับ