Close this window

ขอนอกเรื่อง: เรื่องเกียวกับ taxi จากเวปผู้จัดการ
คัดลอกจาก
http://www.manager.co.th/Entertainment/ViewNews.aspx?NewsID=9470000028658

*************************************************************************************
ช่วงหลายเดือนมานี้ ผมมีเหตุให้ต้องเดินทางไปไหนมาไหนด้วยแท็กซี่ตลอดเวลา ไม่ใช่เพราะเศรษฐกิจชีวิตความเป็นอยู่มั่งคั่งดีขึ้นหรอกนะครับ เคยร่ำรวยอย่างไรก็ยังคงร่ำรวยเท่าเดิม (จริง ๆ แล้วก็แปลว่า “จนมาก” แต่วิธีแก้จนของผมก็คือ คิดติ๊งต่างเสียว่า “รวยมาก” เท่านี้ผมก็สุขสบายดีมีความสุข รู้สึกพึงพอใจต่อฐานะที่เป็นอยู่ และไม่นึกอยากดิ้นรนที่จะมุ่งแสวงหาเงินทองให้มากกว่าที่ได้รับ จะเรียกว่า “ความทะเยอทะยานต่ำ ความดันทุรังสูง” ก็ได้ครับ)

ผมพึ่งพาบริการรถแท็กซี่แทนยานพาหนะอื่น ๆ ก็เพราะความรีบเร่งและประหยัดเวลาเป็นเหตุผลหลัก

จากประสบการณ์อันโชกโชน (ตรงนี้ไม่ได้แปลว่า ขึ้นรถแท็กซี่จนบรรลุเป็นเซี่ยนแต่อย่างไร ทว่าเป็นเพราะล่าสุดสด ๆ ร้อน ๆ ผมต้องฝ่าฟันขึ้นรถในสภาพเปียกโชกมากกว่า) ผมสรุปได้ว่า การขึ้นแท็กซี่ในกรุงเทพฯ เปรียบเหมือนการเสี่ยงโชค เจอะคนขับดีก็ราวกับขึ้นสวรรค์ เจอะคันที่แย่ ๆ ก็เหมือนตกนรกทั้ง ๆ ที่ยังมีลมหายใจ และนั่งวิตกกังวลด้วยความรู้สึก “ใจหาย” ไปตลอดทาง

จะด้วยโชคหรืออะไรก็แล้วแต่ ผมไม่ค่อยมีโอกาสเจอะเจอแท็กซี่ที่เข้าข่าย “ทางสายกลาง” ประเภทไม่โดดเด่น แต่ก็ไม่ย่ำแย่เสียหาย อยู่ในมาตรฐานปกติทั่ว ๆ ไป พยายามทบทวนดูแล้วก็นึกไม่ออกจริง ๆ ครับว่า เจอะเจอครั้งสุดท้ายเมื่อไร

แท็กซี่ส่วนใหญ่ที่ผมพานพบล้วนเอียงไปในทางสุด ๆ ถ้าไม่ดีเลิศประเสริฐมาก จนแทบจะมอบโล่แจกประกาศนียบัตร ก็โดดเหวี่ยงข้ามฟากมาเป็นเลวร้าย จนอยากทำบุญสะเดาะเคราะห์ล้างซวยโดยฉับพลัน บางคันก็ถึงขั้นทำให้ผมต้องขอบคุณเทพยดาฟ้าดิน ในความเมตตาให้ผมเดินทางสู่ที่หมายด้วยสภาพแคล้วคลาดปลอดภัย

แท็กซี่คันล่าสุดที่ใช้บริการแล้วรู้สึกประทับใจมาก เป็นชายวัยใกล้เคียงกับผม จนสบตาจ้องหน้ากันแล้ว ต่างฝ่ายต่างก็เกิดอาการลังเลไม่แน่ใจว่า ใครควรจะเรียกใครว่า “พี่” (แต่แน่นอนครับว่า ด้วยแต้มต่ออันเกิดจากรอยย่นบนหน้าผาก จึงทำให้ท้ายที่สุดผมเป็นฝ่ายแลดูอาวุโสกว่านิด ๆ) หลังจากผมโบกรถ บอกที่หมายปลายทาง และเจาะจงเส้นทางที่เลือกใช้เสร็จสรรพ ขณะกำลังจะหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านบนรถ เสียงจากคนขับก็ลอยแว่ว ๆ เข้ามาว่า

“พี่ครับ พี่ครับ ไม่ทราบว่าพี่รีบมากหรือเปล่าครับ ผมจะได้ใช้ความเร็วตามความเหมาะสม” คุณพี่คนขับเริ่มต้นทักทายสอบถาม โดยพกมารยาทมาเต็มกระเป๋า

“ไม่ถึงกับรีบมากหรอก แค่ไปถึงในเวลาไม่เกินชั่วโมงก็เหลือเฟือแล้ว” ผมตอบกลับไป

“งั้นสบายมากเลยครับพี่ เพราะเส้นทางนี้ ถ้ารถไม่ติด และขับแบบสบาย ๆ เน้นความปลอดภัย น่าจะใช้เวลาไม่เกินครึ่งชั่วโมง แต่ถ้ารีบเร่งมาก ๆ และขับอย่างโลดโผน อาจเร็วกว่านั้น” คุณพี่แท็กซี่อธิบาย

“ถ้างั้นเอาแบบสบาย ๆ ปลอดภัยไว้ก่อนก็แล้วกันนะครับ” ผมระบุเลือกประเภทบริการที่ปรารถนา

“ได้ครับ แล้วไม่ทราบว่าพี่ต้องการจะนั่งเงียบ ๆ หรือคุยกับผม หรือจะฟังวิทยุ” คุณพี่นำเสนอบริการถัดมา

“แม่เจ้าโว้ย!!!” ผมแอบรำพังรำพันในใจแถมเครื่องหมายอุทานสามอัน นี่บริการละเอียดถี่ถ้วนขนาดน้อง ๆ การบินไทยเลยแฮะ คิดได้ดังนั้นผมก็ตอบกลับไปว่า “ฟังวิทยุไปด้วย คุยไปด้วยก็ได้ครับ”

“ด้วยความยินดีครับ ไม่ทราบว่าพี่อยากฟังรายการประเภทไหน เรามีรายการข่าว ซึ่งก็แบ่งได้เป็นข่าวอาชญากรรม ข่าวเศรษฐกิจ ข่าวทั่วไป หรือรายงานข่าวสภาพการจราจร ส่วนรายการเพลงก็มีเพลงไทย เพลงฝรั่ง เพลงลูกทุ่ง เพลงป๊อบ อันนี้ก็แบ่งอีกได้ว่า แบ่งตามสังกัดค่ายเทป แบ่งตามแนวเพลง แบ่งตามความทันสมัยมาก ทันสมัยน้อย” อากู๋!…ขอประทานโทษครับ คุณพี่คนขับแท็กซี่สาธยายรายละเอียดถี่ยิบ ราวกับเป็นผู้ประกอบการธุรกิจวงการเพลงมาเองยังไงยังงั้นเชียว

“เอาเป็นเพลงฝรั่ง ประเภทช้า ๆ หวาน ๆ ก็แล้วกัน” ผมรีบบอกกับคนขับ เพราะกลัวว่าถ้าล่าช้ากว่านี้ คุณพี่อาจจะอธิบายวิเคราะห์ถี่ยิบถึงข้อแตกต่างระหว่างดนตรีฮิพฮ็อพกับอาร์แอนด์บีว่าผิดแผกกันอย่างไรบ้าง

“อ๋อ พี่ชอบเพลงประเภทอีซี่ ลิสเทนนิ่งเหรอครับ ได้เลย” คุณพี่คนขับสนองรับ พร้อม ๆ กับที่ผมเริ่มสงสัยว่า อาชีพก่อนหน้าจะมาขับรถแท็กซี่ของคุณพี่ อาจเป็นดีเจหรือนักวิจารณ์ดนตรีก็ได้นะครับ

ถัดจากนั้น บทสนทนาก็เงียบหายขาดตอนไประยะหนึ่ง เนื่องจากคุณพี่คนขับเพ่งสมาธิไปที่การขับรถ ควบคู่กับการกดปุ่มเปลี่ยนช่องสถานี จนเจอแนวเพลงประเภทที่ผมต้องการ

เพลงผ่านไปสามเพลง (ซึ่งคุณพี่คนขับ ฮัมทำนองตามได้หมด) พอถึงเพลงถัดมา ผมก็เกิดอาการโดนอย่างจัง เมื่อได้ฟังเพลงโปรด It Might Be You ของสตีเฟน บิช็อพ

“พี่ชอบเพลงนี้มั้ยครับ ผมล่ะชอบมาก ตั้งแต่ตอนที่ได้ยินในหนัง เอ๊! มันเรื่องอะไรนะครับ ที่ดัสติน ฮอฟท์แมนเล่นปลอมตัวแต่งเป็นผู้หญิง พี่น่าจะได้ดูนะครับ มันเป็นเพลงและหนังรุ่นพวกเรา” คุณพี่แท็กซี่ถามผม

“ชอบครับ เป็นเพลงจากหนังเรื่อง Toosie” ผมตอบไปพร้อม ๆ กับปาดเหงื่อ ถอนหายใจเฮือกโล่งอก และนึกขอบคุณในความโชคดีที่มีอาชีพเป็นนักวิจารณ์หนัง นี่ถ้าหากตอนเรียนจบแล้วเผลอหลวมตัวเป็นเซลส์แมน ต้องตอบคำถามข้อนี้ไม่ได้ แย่แน่ ๆ เลย

“เออ ใช่ จริง ๆ ด้วย เรื่องนี้นะพี่ ตอนถ่ายทำไอ้ผู้กำกับกะพระเอกมันทะเลาะตบตีกันแทบตาย จนหนังเกือบจะถ่ายไม่เสร็จ แต่พอออกมากลับดี ได้เงิน แถมยังได้เข้าชิงออสการ์เสียอีก” คุณพี่แท็กซี่เสริมเกล็ดความรู้แบบเจาะลึกชนิดที่ผมเองก็ยังไม่รู้เสียด้วยซ้ำ (ล่าสุดผมตรวจสอบเช็คข้อมูลดูแล้ว จริงของคุณพี่คนขับทุกประการ)

ผมเริ่มใบ้รับประทาน ไม่กล้าพูดคุยอะไร กลัวนะครับ กลัวว่าจะ “ปล่อยไก่” ต่อหน้าคุณพี่ (ซึ่งโดยคุณสมบัติความรอบรู้ สมควรจะมาเอาดีในการเป็นนักวิจารณ์หนังยิ่งกว่าผมเสียอีก) โชคดีเหลือเกินเมื่อรถแล่นมาถึงที่หมายปลายทางพอดี”

“แปดสิบสามบาทครับ แต่ผมคิดแปดสิบถ้วน ๆ ก็พอ ส่วนลดสามบาทถือเป็นงบโฆษณาประชาสัมพันธ์แก้ไขภาพพจน์ของวงการแท็กซี่นะครับ” คุณพี่ทำให้ผมอึ้งอีกครั้ง

ผมยื่นเงินค่าโดยสารส่งให้ ขณะกำลังจะย่างก้าวลงจากรถ ก็ต้องชะงักอีกครั้ง จากคำถามส่งท้ายของคุณพี่

“เอ้อ! พี่ครับ อย่าหาว่าผมละลาบละล้วงสอดรู้สอดเห็นเรื่องส่วนตัวของพี่เลยนะครับ คือว่าผมเห็นหน้าพี่ตั้งแต่ตอนขึ้นรถแล้ว ผมก็อดสงสัยขึ้นมาไม่ได้ พี่จะว่าอะไรมั้ยครับ ถ้าผมจะถามพี่สักเล็กน้อย” คุณพี่คนขับทำสีหน้าเกรงอกเกรงใจสุดฤทธิ์

“สงสัยอะไรหรือครับ ถ้าไม่ได้ถามยากเกินไป สามารถตอบได้ ผมก็จะตอบ”

“เอ้อ! คือผมสงสัยว่า…” คุณพี่ชะงักเล็กน้อย เพื่อรวบรวมขวัญและกำลังใจ ก่อนจะกล่าวต่อไปว่า “เคยมีคนทักพี่บ้างหรือเปล่าครับว่า พี่หน้าเหมือนชูวิทย์”

“โห!!! ถามอะไรอย่างนั้น” ผมคิดในใจ ก่อนจะอ้อมแอ้มตอบกลับไปว่า “เคยครับ เจอคนทักแบบนี้เป็นประจำ”

“แหม! ถ้างั้นพี่น่าจะไปสมัครทำงานเป็นนักแสดงในรายการสภาโจ๊กนะครับ” พูดเสร็จคุณพี่ก็ออกรถหายลับไป ทิ้งให้ผมยืนเหวอ ๆ อยู่ริมถนนตามลำพัง

เรื่องนี้ถือว่าเล่าสู่กันฟังเพลิน ๆ ถ้าจะมีเป้าหมายเจตนาอะไรอื่น ๆ อีก นั่นก็คือ ผมแอบหวังอยู่ลึก ๆ ว่า คุณพี่คนขับแท็กซี่คันดังกล่าว อาจจะมีโอกาสได้อ่านข้อเขียนชิ้นนี้ของผมบ้าง

ถ้าคุณพี่ได้อ่าน ผมอยากจะบอกไว้ตรงนี้ว่า ประทับใจมากและอยากใช้บริการครั้งต่อ ๆ ไปอีก ว่าง ๆ ก็แวะมาแถว ๆ ซอยที่จอดรับผมอีกนะครับ
โดย: sixer   วันที่: 28 Jul 2004 - 09:26


 ความคิดเห็นที่: 1 / 2 : 003275
โดย: Jan_Cronos369
Taxi ปริญญาก็มีครับ ผมเึคยเจอ
ทำงาน office ตอนกลางวัน เย็นมาก็ขับแท็กซี่หารายได้เสริม

ที่หน่วยงานของผมก็มี ผมเคยใช้บริการตอนไปกรุงเทพฯ
กลางวันรับราชการ เย็นมาก็ขับแท็กซี่ พี่เค้าบอกว่าเอาไว้เป็นค่าผ่อนรถ
เนื่องจากแกซื้อ altis ใหม่ แล้วก็เลยเอามาออกเป็นแท็กซี่ซะ
แกบอกว่าบางเดือนรายได้มากกว่าเงินเดือนซะอีกครับ
(แต่อย่างว่าแหละ เงินเดือนข้าราชการนี่นา มันน่าน้อยใจ)
วันที่: 28 Jul 04 - 12:03

 ความคิดเห็นที่: 2 / 2 : 003316
โดย: ลูกโอม
สนุกจัง
วันที่: 28 Jul 04 - 15:29