Close this window

รบกวนถามพี่ๆที่ใช้ ตาตี่
ตอนนี้ใช้ แลนเซอร์ปี94 อยู่ครับ ช่วงล่างไม่ได้เรื่อง อัตราเร่งอืด อาด แต่ประหยัดน้ำมัน อยากเปลี่ยนเป็น แอสติน่าตาตี่ ครับไม่ทราบว่า อะไหล่ แพงไหมครับ อู่นอกซ่อมได้ไหม อัตราเร่ง/การกินน้ำมัน เป็นอย่างไร และ กี่แรงม้าครับ
โดย: จูล่ง   วันที่: 15 Jan 2005 - 18:04


 ความคิดเห็นที่: 1 / 7 : 029634
โดย: PS
MAZDA 323 ASTINA รถครอบครัว สำหรับคนที่ยังมีไฟในหัวใจ

จากหนังสือยานยนต์ ประจำเดือนเมษายน 2545 ฉบับที่431

“Astina” เวอร์ชั่น 5 ประตู แฮทช์แบ็ค ของ MAZDA ในอนุกรม 323 นั้น สร้างชื่อในบ้านเรามานานแล้ว ตั้งแต่รุ่น “ไฟหน้าป๊อปอัพ” ที่ได้รับการออกแบบรูปโฉมได้อย่างสวยงามโฉบเฉี่ยว กับพลัง 140 แรงม้าจากเครื่องยนต์ 1,800 ซีซี ซึ่งถือได้ว่าแรงเกินหน้าเกินตาใครต่อใครในยุดนั้น ทำให้เป็นที่นิยมกันมากในบรรดาคนที่หลงใหลในความแรง และสำหรับ MAZDA 323 Astina คันนี้ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นถัดมา ได้รับการออกแบบใหม่หมดทั้งคัน แถมยังเพิ่มดีกรีความเป็นสปอร์ตเข้าไปอย่างเต็มพิกัด กับราคาค่าตัวในชั่วโมงนี้ที่ว่ากันประมาณ 3 แสนกว่าไล่ไปจนถึง 4 แสนนิด ๆ แล้วแต่สภาพและรุ่นปี

หุ่นสวยบาดตาอย่างนี้ ยังอยู่ไปได้อีกนาน

“Astina” เปิดตัวมาพร้อมกับ 323 รุ่น 4 ประตูซีดาน ในรหัสตัวถัง “CB” ภายนอกได้รับการออกแบบใหม่หมด แต่ยังคงเค้าโครงเดิมของ “Astina” ตัวเก่าที่คุ้นตาไว้อย่างครบถ้วน ด้วยรูปทรงหน้าทิ่ม ตูดโด่งที่มีมิติตัวถังอวบกว่าตัวเก่าเกือบทุกส่วนแต่ความยาวโดยรวมกลับสั้นกว่า 20 มม. จากการออกแบบให้ตัวรถมีระยะโอเวอร์แฮงก์น้อยลง และแม้ว่าจะผ่านการออกแบบมาเกือบ 10 ปีแล้วก็ตาม แต่ทรวดทรงและลักษณะของรถยังคงความโดดเด่นร้อนแรงอยู่อย่างหาตัวจับได้ยาก ภายนอกของมันต้องยอมรับว่าเป็นผลงานเยี่ยมจาก MAZDA ขนาดที่ว่า สมัยเปิดตัวมาใหม่ ๆ ได้รับรางวัลยกย่องว่าเป็น “รถที่สวยที่สุด” (ในยุคนั้น) ทุกเส้นโค้งมน กลมกลืน สอดรับกันตลอดทั้งคันแทบจะเรียกได้ว่าไม่มีชิ้นส่วนใด ๆ เลยที่เป็นเหลี่ยมมุม โผล่มาให้สะดุดสายตา ทางด้านหน้ารถถูก “กด” ให้แบนราบตามหลักอากาศพลศาสตร์ จนได้ค่า CD ออกมาที่ 0.34 มากกว่ารุ่นเดิมที่ทำได้ 0.32 อยู่หน่อย ชุดไฟหน้าเป็นแบบโคมเล็กเรียวแบน จนมีนิคเนมในหมู่นักเล่นรถว่ารุ่น “ตาหยี” แฝงลูกเล่นทันสมัยด้วยโคม “โปรเจ็คเตอร์” ดวงเล็กริมสุดทำหน้าที่เป็นไฟใหญ่ ในขณะที่โคมใหญ่ด้านในทำหน้าที่เป็นไฟสูง ชุดกันชนหน้ากินแนวขึ้นมาจรดกับฝากระโปรงโดยในส่วนของช่องรับอากาศขนาดใหญ่ในด้านหน้านั้น ถูกเลื่อนตำแหน่งลงไปอยู่ใต้แนวชุดไฟหรี่-เลี้ยวที่ฝังไว้ด้านบนแทน

ฝากระโปรงหน้าเทลาด รับกับกระจกบังลมหน้าบานใหญ่ที่ทำมุมเอนค่อนข้างมากตามแนวคิดการออกแบบที่ต้องการแฝงความเป็นสปอร์ตให้กับตัวรถ พร้อมใบปัดน้ำฝนแบบกึ่งซ่อนรูป ที่ช่วยลดการกระพือของใบปัดยามใช้ความเร็วสูง ๆ ได้ดี ด้านข้างตัวรถไร้เส้นสายจากคิ้วยางกันกระแทกใด ๆ มาเติมแต่ง โดดเด่นที่โป่งล้อหน้า-หลังขนาดใหญ่ที่มองกี่ครั้งก็ไม่เบื่อบานประตูนั้นเป็นแบบไร้เสากระจกมาเกะกะ ซึ่งถือว่าเป็นจุดเด่นของ “Astina” รุ่นนี้เลยก็ว่าได้ เพิ่มลูกเล่นตรงส่วนปลายสุดของหลังคาด้วยการยกแนวสันเป็นโหนกขึ้นมาหน่อยนึงคล้าย ๆ กับสปอยเลอร์หลังคาแบบกลาย ๆ แล้วฝังไฟเบรคแบบ LED เรียงตามยาวในส่วนกลาง พร้อมกับหัวฉีดน้ำสำหรับชุดใบปัดน้ำฝนหลัง

บานฝากระโปรงท้ายสามารถเปิดยกขึ้นได้กว้างโดยส่วนล่างสุดของฝาจะจรดกับแนวของกันชนท้าย ทำให้การขนถ่ายสัมภาระเข้าออก สามารถกระทำได้อย่างสะดวกสบายชุดไฟท้ายหลังที่ใช้งานได้จริงจะเกาะติดอยู่กับส่วนของโครงรถด้านนอกทั้งสองฟากซ้าย-ขวา โดยจัดวางตำแหน่งของไฟเลี้ยวไว้ส่วนบนของชุดไฟหรี่และไฟเบรคที่เป็นโคมเดียวกันอีกทีหนึ่ง ส่วนตำแหน่งของไฟถอยนั้นจะกระเถิบเข้าไปอยู่ในส่วนของแผงทับทิมหลังที่ลากยาวตลอดตามความกว้างของตัวรถ กันชนหลังเป็นพลาสติคฉีดขึ้นรูปแบบชิ้นเดียวขนาดใหญ่ที่โอบโค้งเข้ารูปตามตัวรถมาจนถึงแนวอุโมงค์ล้อหลัง และตรงชายล่างของกันชนหลังยังทำเป็นลักษณะ “Air Dam” เพื่อผลทางแอโร่ไดนามิคส์อีกด้วย

ภายในหรูหรา เข้าขั้นสปอร์ตเต็มตัว

เปิดประตูเข้าไปลองนั่งสัมผัสแรกที่ได้รับจากประสาทสัมผัสคือความรู้สึกมั่นคง และปลอดภัยจากการออกแบบชุดคอนโซลหน้าและแผงหน้าปัทม์ที่มีลักษณะโอบล้อมห้องโดยสาร ไล่แนวยาวต่อเนื่องไปยังแผงประตูข้างทั้ง 4 บาน ไปจนจรดพนักพิงของเบาะหลัง เปรียบเสมือนเรานั่งอยู่ใน “หลุมโดยสาร” ได้อารมณ์สปอร์ตดีทีเดียว กลับมาว่ากันต่อที่คอนโซลหน้า แผงหน้าปัทม์เป็นแบบโฟมอัดขึ้นรูปที่ให้ความสวยงามและยังปลอดภัยต่อผู้โดยสารยามเกิดอุบัติเหตุ ใช้โทนสีเทา-ดำตัดกันดูเรียบ ๆ ไม่หวือหวา แต่การออกแบบและจัดวางชุดเกจ์วัดและสวิทช์ควบคุมอุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่างๆ ช่วยให้เกิดความรู้สึกที่ “ดูดี”

ในชุดเกจ์วัดจะประกอบไปด้วย เกจ์วัดทรงกลมขนาดใหญ่ 2 วง โดยทางซ้ายขนาดย่อมกว่าหน่อยจะแสดงรอบการทำงานของเครื่องยนต์ถัดมาเป็นตัวใหญ่สุดอยู่ตรงกลาง เป็นเกจ์วัดความเร็วของรถ ทางขวาสุด เป็นเกจ์ทรงกลมขนาดเล็กซ้อนกันอยู่ในแนวดิ่ง คือ วัดระดับน้ำมันเชื้อเพลิง และอุณหภูมิของน้ำหล่อเย็น พวงมาลัยแบบสปอร์ตสามก้านสามารถปรับระดับขึ้นลงได้ แผงสวิทช์ควบคุมกระจกมองข้าง กระจกไฟฟ้า และเซ็นทรัลล็อคจะติดตั้งอยู่ที่แผงประตูของคนขับ ถัดมาตรงกลาง ใต้ช่องแอร์จะเป็นที่อยู่ของนาฬิกาและปุ่มสวิทช์ไฟฉุกเฉินกับสวิทช์ละลายฝ้ากระจกหลัง เห็นด้ง่าย ใช้งานได้สะดวก ต่ำลงมาจะเป็นชุดสวิทช์ควบคุมระบบปรับอากาศแบบสัมผัส ที่ยังมี “Heater” สำหรับใช้กับเมืองหนายติดมาด้วย

ที่ชอบที่สุดก็คือ ช่องเก็บของแบบ 2 ชั้นบนแผงหน้าปัทม์ด้านซ้าย และกล่องเก็บของขนาดใหญ่ที่ประตูหน้าทั้ง 2 บาน งานนี้ถูกใจคนบ้าสมบัติอย่างผมพอสมควร

เบาะนั่งคู่หน้าให้มาในรูปแบบ “Bucket Seat” มีปีกโอบรับกระชับทุกสัดส่วน อาจจะดูอึดอัดไปบ้าง สำหรับคนที่มีรูปร่างค่อนข้างใหญ่ แต่กับขาซิ่งทั้งหลายคิดว่าคงถูกใจไม่น้อย สำหรับตัวเบาะคนขับมีพิเศษขึ้นมาหน่อย ตรงที่สามารถปรับมุมก้ม-เงย ให้กระดกหน้าหรือเอนหลังลงได้ แต่ต้องขอตินิดนึงตรงพนักพิงศรีษะ ที่ปรับได้เพียงแค่ขึ้น-ลง ไม่สามารถปรับดึงเข่า-ออกเพื่อให้มารองรับต้นคอได้พอดีนัก จึงทำให้เสียอารมณ์เวลาขับตรงจุดนี้ไปหน่อย คันเกียร์ด้ามสั้นจับกระชับมือ ทำให้จังหวะการเปลี่ยนเกียร์ขึ้นลงทำได้รวดเร็ว สำหรับการขับใช้งานจริงบนท้องถนนนั้น อาจจะลำบากซักหน่อยกับการกะระยะในการถอยเข้าซอง เพราะการวางมุมเทของกระจกบานหลังสไตล์รถแฮทช์แบ็คที่ค่อนข้างมาก และหลังคาที่เตี้ยกว่าปกติทำให้ต้องเสียเนื้อที่ในการมองเห็นไปค่อนข้างเยอะ ถึงแม้ว่าเสา “C” จะมีช่องกระจกมาให้อีกบาน แต่ก็ช่วยได้เพียงแค่นิดหน่อย ยิ่งในขณะที่มีผู้โดยสารตอนหลังนั่งอยู่เต็ม การมองจากกระจกส่องหลังแทบจะเป็นศูนย์

ในส่วนของที่นั่งตอนหลังมี “ปีก” รับต่อมาจากแผงประตูข้างอีกทอดหนึ่ง เมื่อเข้าไปนั่งแล้วรู้สึกได้เลยว่า “จม” มากกว่าข้างหน้าเยอะเพราะตำแหน่งของเบาะจะอยู่ต่ำ เพื่อเผื่อให้มีเนื่อที่สำหรับ “Head Room” ในด้านบน ตัวพนักพิงเบาะหลังค่อนข้างชัน ทำให้มีเนื้อที่วางขาสำหรับผู้โดยสารตอนหลังเยอะ ไม่อึดอัดมากนัก นอกจากนั้นเบาะหลังยังสามารถพับแบ่งได้แบบ 60 : 40 เพื่อเพิ่มเนื้อที่ในการบรรทุกให้มากขึ้นห้องเก็บสัมภาระท้ายรถมีขนาดใหญ่และลึก โดยมีความจุกว่า 267 ลิตร สามารถเก็บข้าวของตอนไปช้อปปิ้งได้ตั้ง 2 รถเข็นโดยที่ไม่ต้องเดือดร้อนเอามาวางข้างในรถให้เกะกะเลยแม้แต่น้อย

สำหรับเครื่องยนต์บล็อค “BP 1.8” ที่ประจำการอยู่ใน “Astina” ตัวใหม่นี้ เรี่ยวแรงจะตกเป็นรอง 140 ม้า จากบล็อค “BPD” ของ “Astina” ตัวเก่า อยู่พอสมควรจากเหตุผลหลาย ๆ ประการที่ทำให้ถูก “ตอนม้า” มาเรียบร้อยจากโรงงาน ซึ่งเหตุผลหนึ่งในนั้นก็คือ เรื่องการควบคุมมาตรฐานไอเสียที่เข้มงวดขึ้น ดังนั้นเครื่องตัวใหม่นี้จึงเหลือกำลังมาให้ใช้เพียงแค่ 125 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที กับแรงบิด 16.3 กก.-ม. ที่ 4,000 รอบต่อนาที แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าจะแย่ไปซะทีเดียว เพราะมีระบบ “VICS” (Variable Inertia Charging System) หรือระบบแปรผันความยาวของทางเดินท่อไอดีเข้ามาทดแทน

จากที่ได้ทดลองขับดูนั้น เครื่องยนต์มีการตอบสนองที่ดี จากแรงบิดที่มีมาให้ใช้ในรอบเครื่องยนต์ที่ต่ำกว่าเดิมและมาไวขึ้นกว่าเก่า ส่งผลให้การขับขี่แบบปกติทั่วไปในเมืองทำได้คล่องแคล่ว ไม่อืดอาดยืดยาด หรือต้องรอรอบกันจนเหนื่อยตามนิสัยเครื่องแค็มแยะวาล์วเยอะโดยทั่วไปนักอัตราการเร่งแซงความเร็วเกิน 100 กม./ชม. ก็ยังทำได้ดีไม่ต้องมีลุ้นกันมาก และจากการที่เครื่องยนต์มีย่านแรงบิดค่อนข้างกว้าง ทำให้เกิดความลื่นไหลและต่อเนื่องกันไปอย่างราบเรียบ ไม่กระโชกโฮกฮากให้เสียจังหวะทำให้เกิดความยืดหยุ่นในการใช้งานค่อนข้างมาก ซึ่งถือว่าพอเพียงที่จะลดจุดด้อยในด้านความแรงที่หดหายไปได้พอสมควร ส่วนเรื่องอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงในระดับ 8 กิโลเมตรกว่า ๆ ต่อลิตรนั้น ถือว่ายังพอคบหากันได้

เกาะถนนดี เบรคเยี่ยม วางใจได้

ขึ้นชื่อมานานแล้วสำหรับ “MAZDA” ในเรื่องการเกาะถนนจากระบบกันสะเทือนอิสระแบบแม็คเฟอร์สัน สตรัททั้ง 4 ล้อ พร้อมระบบ “TLL” (Twin Trapezoidal Link) หรือ ขาเทรลลิ่งอาร์มคู่ขนานที่สามารถปรับมุม “Toe-In” ของล้อหลังให้สัมพันธ์กับโค้งได้ ส่งผลให้รถมีความเป็นกลางมากพอสมควร แม้จะต้องเจอกับโค้งแคบ ๆ ก็พบแค่เพียงอาการอันเดอร์สเตียร์นิดหน่อยตามประสารถขับเคลื่อนล้อหน้าเท่านั้นเอง การดูดซับแรงสะเทือนของระบบช่วงล่างทำได้ดีจนน่าพอใจ การบังคับควบคุมทิศทางต่าง ๆ สามารถทำได้ง่าย ไม่เกิดอาการ “หวิว” ที่ความเร็วสูงให้พบเห็น (ถ้าไม่เร็วจนเกินไปนัก) ถึงแม้ว่าระบบเบรกในรุ่นนี้ทาง “MAZDA” จะไม่ได้ให้ ABS มาก็ตาม แต่ดิสค์เบรคทั้ง 4 ล้อก็มีประสิทธิภาพในการหยุดได้อย่างดีเยี่ยม ระยะเบรกทำได้ค่อนข้างดี ไม่มีอาการล้อล็อคตายให้หวาดเสียว ซึ่งในความเห็นของผมตรงนี้คิดว่าสำหรับการขับใช้งานในรูปแบบ “Daily Use” ปกติธรรมดา ยางคุณภาพดี ๆ ซัก 4 เส้น ก็เพียงพอแล้วสำหรับ “Astina”

บทสรุป

“MAZDA 323 Astina” ด้วยงบประมาณเริ่มต้นไม่เกิน 4 แสน กับรถยนต์ที่ให้ได้มากกว่าความสวยงาม โดดเด่นเรื่องการทรงตัวที่เป็นเยี่ยม เครื่องยนต์มีสมรรถนะพอประมาณ แต่สามารถขยับขยายเพิ่มเติมความแรงได้ในภายหลังด้วยการหยิบยืมเครื่องยนต์จากตัวแรงสายพันธ์เดียวกันมาวางได้สบาย ๆ ในงบประมาณที่ไม่สูงนัก การบำรุงรักษาโดยทั่วไปไม่จุกจิก รถส่วนใหญ่ที่ขายในตลาดรถมือสองจะมีสภาพค่อนข้างสมบูรณ์ เนื่องจากต้องใช้บริการจากศูนย์บริการซะเป็นส่วนใหญ่ จากการที่รถมีน้อย ชิ้นส่วนอะไหล่จึงไม่ค่อยแพร่หลายนัก แต่ก็มีทางเลือกอื่น ๆ เช่นของเก่าสภาพดีจากเชียงกง หรืออะไหล่แท้ เทียม จากร้านอะไหล่ทั่ว ๆ ไปให้เลือกใช้ในราคาที่ยังพอรับไหว
วันที่: 15 Jan 05 - 18:52

 ความคิดเห็นที่: 2 / 7 : 029652
โดย: คิว
อ่านแล้วภูมิใจจังเลย..555
วันที่: 15 Jan 05 - 22:25

 ความคิดเห็นที่: 3 / 7 : 029877
โดย: น้องเติ้ล
คุ้มค่าแก่การอ่านมากครับ....
ประทับใจรถตัวเองจัง คิดไม่ผิดจริงๆที่มีไว้ในครอบครอง.......อิอิ
เนอะๆ พี่คิว...........
วันที่: 17 Jan 05 - 03:01

 ความคิดเห็นที่: 4 / 7 : 165897
โดย: เบนซ์
คันนี้และใช่เลย
วันที่: 09 Jan 06 - 15:17

 ความคิดเห็นที่: 5 / 7 : 165899
โดย: มิน 2/1
ชอบคันนี้จังเลย k706
วันที่: 09 Jan 06 - 15:25

 ความคิดเห็นที่: 6 / 7 : 165948
โดย: ทวีรัฐ
ของคุณ คห 1 คือข้อดี

ส่วนปัญหา ต่างๆ ลองพิมพ์คำว่า "ตาตี่" / "แอสติน่า" / " astina " ในช่องค้นหา ด้านบน แล้วกด Enter นะครับ

ข้อมูลจะพรั่งพรูออกมา ให้อ่านกันตาแฉะ

ไว้ศึกษาข้อมูลเพื่อรับมือกับปัญหาครับ รู้เขา รู้เรา ได้เปรียบครับ แล้วค่อยตัดสินใจอีกที
วันที่: 09 Jan 06 - 18:08

 ความคิดเห็นที่: 7 / 7 : 216894
โดย: ชายชุดดำ
สวยนี้
วันที่: 19 Aug 06 - 12:28