Close this window

คิดว่าเส้นผ่านศูนย์กลางล้อใหญ่กว่ามันช่วยเรื่องประหยัดน้ำมันมั้ยครับ
สมมติว่า รถคันเดียวกัน ใส่ยางตามสเปคโรงงาน แล้วมาเพิ่ม series ให้แก้มมากขึ้น ระยะทางที่วิ่งได้ต่อการที่ล้อหมุน 1รอบ (อย่าเพิ่งพูดเรื่อง ไมล์เพี้ยนนะคร้าบ กรณีนี้คือให้คิดว่ามีการปรับจูนรอบให้ถูกต้องแล้วนะครับ)

คือผมเห็น Civic ใหม่ ใช้ยางที่มีแก้มมากกว่า ทำให้ล้อมันใหญ่กว่า Cronos ผมอย่างชัดเจน แต่มาสด้า 3 เท่าไหร่ไม่แน่ใจ

อยากรู้ว่าถ้าเราเพิ่มแก้มขึ้นหน่อย มันจะทำให้ประหยัดน้ำมันมากขึ้นมั้ยครับ (เห็นน้อง Tor' ทำกะCronos อยู่..เห็นว่าเต็มซุ้มดีด้วย แต่เรื่องประหยัดมารายงานผลหน่อยก็ดีนะครับ...)

ข้อเสีย ก็คงเรื่องอัตราเร่ง ไมล์เพี้ยน(ถ้ายังไม่ได้แก้) การทรงตัว แต่ถ้าได้ความประหยัดมาจริง ก็น่าสนใจนะครับ ว่ามั้ย
โดย: TWT   วันที่: 3 Jun 2007 - 22:42

หน้าที่: [1]   2

 ความคิดเห็นที่: 1 / 25 : 271195
โดย: Switch_On!
ถ้าว่าตามตัวเลข ของเส้นรอบวงที่เพิ่มขึ้น ต่อการหมุนของล้อ(เพลา) หนึ่งรอบ ก็คงต้องบอกว่าได้ทางเพิ่มขึ้นจริง ๆ นั้นแหละครับ

เพียงแต่ ตัวเลขที่เพิ่มขึ้น มันเพิ่มอย่างมีนัยสำคัญหรือเปล่า เช่นถ้ามันเพิ่มแค่ 1cm ผมว่า..มันก็ไม่ได้ประหยัดขึ้นแน่

อีกอย่าง ถ้าจะว่ากันเรื่องความประหยัด ก็ต้องเอาตัวประกอบอื่น ๆ ไปคิดด้วย เพราะถ้าเส้นรอบวงเพิ่ม เครื่องก็ต้องรับภาระในการออกแรงเพื่อจะหมุนล้อเพิ่มขึ้น นั้นหมายความว่า ก็ต้องใช้พลังงานเพิ่งขึ้น น้ำมันก็จะเพิ่มขึ้น ก็ต้องเอาไปคำนวนรวมกับ ระยะที่คุณได้เพิ่มขึ้นของยาง แล้วดุว่า ระยะทางกะน้ำมันที่เสียไป...มันคุ้มกันรึเปล่า

แต่นี่ก็ยังละในเรื่องที่คุณว่าเอาไว้อยู่นะเช่นเรื่อง ไมล์เพี้ยน ภาระช่วงล่างอย่างระบบเพลาและระบบส่งกำลัง ฯลฯ....
วันที่: 04 Jun 07 - 02:49

 ความคิดเห็นที่: 2 / 25 : 271207
โดย: แอล
อย่าลืมเรื่องความกว้างของหน้ายางที่เพิ่มขึ้น ด้วยนะครับ ทำให้พื้นที่สัมผัสกับพื้นเยอะขึ้น แรงเสียดทานก็เยอะขึ้นด้วย


ว่าแต่พี่ภู ทำไมนอนดึกจัง
วันที่: 04 Jun 07 - 08:21

 ความคิดเห็นที่: 3 / 25 : 271216
โดย: M@DMODZ ^ da pirates
เส้นรอบวงเพิ่มขึ้น ได้ระยะทางน้อยลง และเปลืองน้ำมันมากกว่าเดิมครับ
เพราะยางหนักขึ้น หน้ากว้างขึ้น ผิวสัมผัสมากขึ้น ภาระของเครื่องยนตร์เพิ่มขึ้นครับ
วันที่: 04 Jun 07 - 09:09

 ความคิดเห็นที่: 4 / 25 : 271225
โดย: t O r @ The Pirates
แจ้งพี่บอม์บคร๊าบบบบ

เรื่องประหยัดผมคงไม่สามารถวัดได้ เพราะว่าเดิมๆใส่ 195/65/14 วิ่งได้เกือบ 10 โลลิตร
แต่เปลี่ยนเป็น 205/55/16 แล้ว เหลือ 8-9 เองครับ

ที่เปลี่ยนเหตุผลเดียวเลยครับ สวยขึ้น ^^

จาก tire cal

Specification Sidewall Radius Diameter Circumference Revs/Mile Difference
195/65-14 5.0in 12.0in 24.0in 75.3in 841 0.0%
205/55-16 4.4in 12.4in 24.9in 78.2in 811 3.7%

ถามเพิ่มเลยแล้วกันคับ

แปลว่าถ้าตอนนี้ผมวิ่ง 100 km/hr ความเร็วจิงจะเป็น 103.7 km/hr ใช่หรือไม่ ??
แล้วถ้าผมระยะทางวิ่ง 100 km ระยะทางจิงเป็น 103.7 km ใช่ป่าวคับ
วันที่: 04 Jun 07 - 10:09

 ความคิดเห็นที่: 5 / 25 : 271228
โดย: nuntawut
ตอนที่ผมไปเปลี่ยนยางก็ไม่มีความรู้อะไรเลย ของผมที่ไปเปลี่ยนยางมา ก็เปลี่ยนจากยางเดิมติดรถ yokohama 195/50R16 เป็น bridgestone ER30 195/55R16 ที่เพิ่มจาก 50 เป็น 55 เพราะถามร้านว่าถ้าอยากให้วิ่งนุ่มขึ้นต้องเปลี่ยนเป็นขนาดไหม ร้านก็แนะนำว่าถ้าแก้มสูงขึ้นก็คงดีขึ้น (ตอนหลังมารู้ว่าอาการที่รถวิ่งไม่นิ่มนักเทียบกับรถยี่ห้ออื่นเป็นลักษณะของรถรุ่นที่ใช้) และตอนที่เปลี่ยนก็กะจะเปลี่ยนจาก 195 เป็น 205 ด้วยแต่ติดที่ กลัวว่าแก้มมันจะยื่นมามากแล้วไม่สวย ขนาดไม่เข้ากับแม็กก็เลยใช้ 195 เหมือนเดิม ที่เปลี่ยนมาไม่ได้มองว่าจะมีปัญหาเรื่องอะไรตามมาบ้าง ไปเปลี่ยนมาแล้วมาหาข้อมูลก็มีหลายความเห็นบอกเรื่องการกินน้ำมัน การทรงตัว

ส่วนตัวผมมองว่าถ้าการหมุนวงล้อ 1 รอบเท่ากัน เราคำนวณระยะทางวิ่งได้จากการวัดระยะเส้นผ่านศูนย์กลางหรือรัศมีของล้อแล้วใช้สูตรคณิตศาตร์คำนวณหาเส้นวงรอบก็จะรู้ว่าระยะทางจะต่างกันเท่าไร ต่างกันกี่% แต่เรื่องที่ว่าจะไปเพิ่มภาระแรงบิดการต้านอากาศแบบนี้ไม่ทราบเหมือนกัน ถ้าใครที่มีการจดบันทึกการสิ้นเปลืองน้ำมันประจำก็คงเอาข้อมูลเก่าและใหม่มาเทียบได้ ซึ่งผมก็จะลองเทียบของตัวเองอยู่เหมือนกัน(แต่ก็ต้องคำนวณปรับแก้ระยะทางที่โชว์ที่หน้าปัทม์ด้วย)
วันที่: 04 Jun 07 - 10:31

 ความคิดเห็นที่: 6 / 25 : 271288
โดย: Switch_ON!
ลองคิดเล่น ๆ ดูก่อนได้ครับ

สมมุให้เส้นรอบวงยาวเดิมเท่ากับ 100cm ถ้าจากโจทย์ของพี่ต่อคือ 3.7% คิดง่าย ๆ ว่า 5% ก็แล้วกัน นั้นคือ ยางใหม่เส้นรอบวง = 105cm

จากเดิมนะครับ ล้อหมุน 1 รอบ ได้ทาง 100cm สมมมุติให้เพลา หมุนไป 1/10 ก็คือรอบ ๆ 10 รอบการหมุนเพลา (การหมุนวงใน จะต้องมากกว่าการหมุนวงนอกที่มีรัศมีการหมุน (เส้นผ่านศก.มากกว่า)

แต่พอเปลี่ยนยางมาใหม่แล้ว เพลาหมุนเท่าเดิมคือ 10 รอบ แต่ตัวล้อเอง...ยังคงหมุนไม่ครบรอบเลย (ขาดไปนิด)

กลับกัน...ถ้าให้ยางหมุนรอบหนึ่งรอบเต็ม 105cm เทียบกับอัตราทดเดิมคือ 10 เพลาก็หมุนไป 10.5 รอบ เห็นม่ะ เพิ่มขึ้นมานิดนึงแล้ว

จากการเปรียบเทียบข้างต้น สรุปได้ว่า
ถ้าเส้นรอบวงเพิ่ม (คำนวนแค่เส้นรอบวงนะรับ ยังไม่ได้คิดเรื่องหน้ากว้างของยาง) การที่จะทำให้รถวิ่งได้ทางเท่าเดิม จำเป็นต้อง ใช้รอบการหมุนของเพลาที่เพิ่มขึ้น นั้นแปลว่า เครื่องจะทำงานเพิ่มขึ้นในระยะทางที่เท่ากัน

แต่กลับกันทางเส้นรอบวงยางลดลง ในระยะทางที่เท่ากัน เครื่องจะทำงานน้อยลง

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เรื่องของยางมีหลายปัจจัยเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ไม่ใช่แค่ขนาดของเส้นรอบวงเพียงอย่างเดียว

หน้ากว้าง...ไม่ว่าจะเพิ่มหรือลด ก็มีผลต่อแรงเสียดทาน และการควบคุมรถ
หน้ายางยิ่งกว้าง ยิ่งเกาะถนน ควบคุมรถได้มั่นใจดี เพราะฐานเรากว้าง แต่ข้อเสีย ก็ต้องแรงกับผิวสัมผัสถนนที่เยอะขึ้น แรงเสียดทายจึงเพิ่มขึ้น เป็นภาระเครื่องยนต์ด้วย

แต่ถ้าลดหน้าสัมผัส แม้จะเป็นการลดภาระเครื่องยนต์ แต่ก็จะทำให้ ผิวสัมผัสถนนลดลง การทรงตัวก็จะแย่ลงตามไปด้วย

แก้มยาง...ถ้าไม่นับ series แล้ว (เพราะ series มันสัมพันธ์กับหน้ากว้างของยาง 205/55 กับ 195/55 แม้จะ series เดียวกัน ก็ไม่ได้แปลว่าควาสูงของแก้มยางจะเท่ากัน ถ้าอยากรู้ความสูงของแก้มยาง ก็ให้ลองใช้ Trie Calc ดูครับ พอเราจะได้รัศมีของยางแล้ว ก็เอา ขนาดของแม็กหาร 2 เพื่อเอาเป็นรัศมี เช่น ขอบ 16 หาร 2 ก็เหลือ 8 แล้ว คุณด้วย 2.45 (ทำจากนิ้วเป็น cm) แล้วเอาไปลบออกจาก รัศมีรวมของยาง ก็จะได้ขนาดของแก้มยางครับ

แก้มยาง ยิ่งน้อย ก็ยิ่งช่วยในเรื่องการทรงตัว เพราะโอกาสเรื่องขอบยางปลิ้น หรือ รถโคลงมีน้อยลง แต่ผลเสียคือ ความกระด้าง แต่ถ้าเพิ่มแก้มสูง ๆ รถก็จะนิ่ม แต่ก็จะเสียเรื่อง การทรงตัวไป ถ้านึกภาพไม่ออก แนะนำ ให้ไป ซื้อปีโป้ มาลอง บีบคว่ำ ใส่จานดู แล้วก็เขย่า จานเบา ๆ ครับ จะเห็นว่า เยยลี่มันจะโยกดดิ้นไปดิ้นมา รถเราก็เป็นแบบนั้นแหละครับ แก้มสูง ก็ดิ้นมาก ยิ่งหน้าแคบด้วยอีก ยิ่งดิ้นมันส์ ดังนั้นถ้าเลือก การเกาะตัวและการทรงตัวมาอันดับแรก ๆ ก็ต้อง แก้มเตี้ย ๆ หน้ากว้าง ๆ เอาไว้ก่อน (แต่แม่ไม่ปลื้มแน่ ๆ เพราะมันจะทั้งแข็ง ทั้งกระด้าง และกินน้ำมันแหง่ม ๆ)
วันที่: 04 Jun 07 - 12:30

 ความคิดเห็นที่: 7 / 25 : 271292
โดย: Switch_ON!
สรุป ๆ เรื่องการเปลี่ยนยางครับ

ถ้าหากจะเปลี่ยนยาง โดยไม่เปลี่ยนขนาดของแม็กแล้วล่ะก็ แนะนำใช้ขนาดเท่าเดิมครับ หรือ +/- ไม่เกิน 1 step ..... งงป่ะ

คำว่า step ก็คือการเพิ่ม/ลดขนาด ของ facter ยาง ขึ้น/ลง หนึ่งระดับ

เช่น ถ้าเดิมยางเราเป็น 195 ถ้า +1 ก็จะเป็น 205 หรือ -1 ก็จะเป็น 185 ซึ่งในตลาดที่เจอบ่อย ๆ ก็จะมีตั้งแต่ 185/195/205/215/225/235 .... ไปเรื่อย ๆ

ส่วน series ก็จะมีตั้งแต่ 45/50/55/60/65/70 ..... ผลต่างที่ละ 5 ไปเรื่อย ๆ

ที่นี้มาดูกฎการเปลี่ยนขนาดยางกันสักนิดครับ กฎที่สำคัญก็คือ ไม่ว่าจะเปลี่ยนยังไงก็ตาม ควรรักษาขนาดของเส้นรอบวงล้อ ให้ใกล้เคียงของเดิมมากที่สุด

วิธีดูง่าย ๆ ก็คือ หากมีการเพิ่ม (+) อะไรไป 1 step ก็ต้อง ลดอีกค่านึง (-) ลงมา 1 step เช่นกัน

เช่น เดิม ยางของ 14 นะครับ ยางเบอร์ 185/65 R14
ถ้าจะเปลี่ยน เพื่ออยากให้ การเกาะถนนที่ดีขึ้น ก็ควรใช้เป็น 195/60 R14 จะเป็นว่า
เราเพิ่มหน้ายางไป 1 step ก็ต้องลด series ลง 1 step ด้วย ส่วนผลต่าง ๆ ลองไปกด ๆ จิ้ม ๆ ใน tire calc ดูครับ ต่างกันไม่เกิน 2-3% แน่ ๆ ซึ่ง ถ้าไม่เกิน 4-5% นั้นยอมรับได้

หรือถ้าจะเปลี่ยนขนาด ของแม็กด้วย ก็ใช้กฎเดิมครับ เพิ่มหนึ่ง ต้อง ลดหนึ่ง ส่วนอีกตัว คงที่
เช่นจากรถคันเดิม คือ 185/65 R14

อยากเปลี่ยนเป็นขอบ 15 ต้องเลือกยางเบอร์ได้ดี
ก็จะแก่ 185/60 R15 (เพิ่มขอบ ลด series) ซึ่งคงไม่มีขาย ก็ปรับต่อไปอีก เป็น 195/55 R15 แทน (เพิ่มหน้ากว้าง ลด series ลงอีก)

หรือไม่สะใจ จะอัพไปเป็นขอบ 16 เลยก็ได้ ตอนแรกก้คือ เพิ่มขอบ ต้อง ลด series ครับ
ก็ขยับจาก 195/55 R15 ไปเป็น 195/50 R16 ซึ่งก็ดูแปลก ว่าขอบ 16 แต่หน้าแค่ 195 เอง หน้าแคบไป แล้วไม่รู้ว่าจะมีขายรึเปล่า ก็ปรับต่ออีกนิด โดยเพิ่ม หน้ากว้างเข้าไปเป็น 205/45 R16 ซึ่งมีขายแน่อน จากนั้นไปกด Tire calc ดูครับ

ถ้าเทียบกับของเดิม

Specification Sidewall Radius Diameter Circumference Revs/km Difference
185/65-14 120mm 298mm 596mm 1873mm 534 0.0%
205/45-16 92mm 295mm 591mm 1856mm 539 -0.9%

จะเห็นว่าต่างกัน ราว ๆ -0.9% แค่นั้นเอง แต่ที่นี่ ถ้าบางคนบอกว่าขอบ 45 มันจะกระด้างไปเปลี่ยน ไม่เป็น ไร ก็ลองดุที่ 205/50 R16 ดูก็ได้

205/50-16 102mm 306mm 611mm 1921mm 521 2.6%

ต่างจากเดิม 2.6% ซึ่งก็ยังไม่ถึง 4-5% อยู่ดี ก็แปลว่า จะใช้ 205/50 R16 ก็ได้ครับ ไม่เป็นไร

แต่ถ้าจะเล่นขอบ 17 ล่ะ...ขอบแบบแจ่ม ๆ ไปเลย ก็แปลงกันต่อครับ
จาก 205/45-16 ก็จะได้เป็น 205/40-17 ซึ่งขอบมันเตี้ยไป ก้อาจจะใช้ 205/45-17 หรือ 215/40-17 แทนก็ได้

จะเห็นได้ว่า ยิ่งยางพอขอบเยอะ ๆ ความเพื้อนจะยิ่งสูง เพราะ series ของยางจะลดลงมากกว่านี้ ไม่ค่อยได้แล้ว แล้วยาง series ต่ำ ๆ หรือที่เรียกกัยว่า ยางแก้มเตี้ยนะ ยิ่งต่ำยิ่งเตี้ย ยิ่งแพงครับ

เดียวของต่ออีกสักอันแลวกัน ไหน ๆ ก็พูดมาแล้ว ต่อด้วยเรื่องของการเลือกดอกยางบ้าง
วันที่: 04 Jun 07 - 12:54

 ความคิดเห็นที่: 8 / 25 : 271299
โดย: Switch_ON!
ว่ากันด้วยเรื่องของขนาด มายาวแล้ว สุดท้าย พอเราได้ขนาดที่ต้องแล้ว

สิ่งสำคัญต่อมา ก็คงเป็นเรื่องของ ยี่ห้อ แน่ ๆ

ซึ่งแต่ละยี่ห้อ แต่ละรุ่น ก็จะมีส่วนผสมแตกต่างกันแน่ ๆ ถ้าใส่สารมหัสจรรย์ลงไปเยอะ ยางก็จะคุณสมบัติ (ตามกล่าวอ้าง) เพิ่มขึ้นด้วย ส่งผลให้มันแพงขึ้น

แต่ทั้งนี้...ไม่ขอกล่าวในรายละเอียดครับ เพราะว่า สรรพคุณกล่าวอ้างนั้น ก็ยกให้เป็นเรื่องของความเชื่อและความชอบแต่ละคนก็แล้วกัน ไม่ว่าจะเป็น ใส่สาร X ลงไปแล้วยางจะเงียบ (บางคนก็ยังว่าดัง) ใส่สาร Y ลงไป เพิ่มการยึดเกาะ เบรตจึก ๆ ใส่สาร Z ลงไป ทำให้ประหยัดน้ำมัน ฯลฯ... ก็ตามแต่แต่ละคนก็แล้วกันครับ

แต่ที่จะพูดต่อคือ ดอกยางครับ เพราะส่วนตัวผมให้ความสำคัญกะเรื่องนี้มากกว่าส่วนสผม ถ้าหากเราสมมติให้ ยาง แต่ละรุ่น ส่วนผสมเหมือนกัน ถือว่าได้มาตรฐานแล้ว ไอ้สิ่งที่จะทำให้มันต่างกันได้คือ จนคนขับขี่รู้สึกได้คือ ดอกยางครับ

สิ่งที่ต้องดูเกี่ยวกับดอกยางเลย ไม่ใช่ว่า ลายสวย หรือไม่สวย เพราะเรื่องความสวย เป็นผลพลอยได้ครับ

หน้าที่สำคัญของดอกยางคือ การรีดน้ำ...ครับดอกยาง มีไว้รีดน้ำเท่านั้น ซึ่งก็ต้องเข้าใจกฎเหล็กก่อนว่า

ยางที่เกาะถนนดีที่สุดคือ หน้ายางตัน ๆ ไม่มีดอกยาง ถ้านึกไม่ออกนึกถึงรถ F1 ก็ได้ครับ

แม้ยางไม่มีดอกเกาะถนนดีที่สุด แต่ก็มีข้อมีข้อเสียคือ เสียงมันจะดัง และที่แย่กว่า ไม่มีรีดน้ำ หากถนนขรุขระ มีเศษหิน หรือ มีน้ำขัง.... รถจะกลายเป็นเครื่องบินได้ในทันที

ดังนั้นผู้ผลิตจังต้องคิดค้น ลายต่าง ๆ ของดอกขึ้นมาไงครับ

ลายของดอกยาง หากลายยิ่งละเอียด มีช่องว่างเยอะ....อนุมานได้เลยว่า ยางรุ่นนี้ จะวิ่งเงียบ การีดน้ำทำได้ดี เพราะมีช่องให้น้ำไหลผ่านเยอะ แต่... เนื่องจาก ช่องว่างเยอะ และดอกยางละเอียด ขนาดของดอกยางแต่ละดอก ก็จะเล็กตาม ทำให้ การเกาะถนน ไม่ได้นั้นเอง (กลับไปนึกถึงเยลลี่ปีโบ้ต่อนะครับ ตานี้ลอง บีมาเยอะ ๆ เรียบกันไว้บนจาน แล้วหาจานอีกใบ ปิดทับข้างบน แล้วลองเขย่าเบา ๆ ดูครับ)

ถ้าลายดอกยาง เป็นดอกใหญ่ ๆ ก็คิดนำได้เลยว่า ต้องเป็นรุ่นที่เกาะถนนกว่าแน่ ๆ แต่เนื่องจากดอกมันใหญ่ ทำให้ความถี่ของดอกยางต่อพื้นที่มีน้อยลง การีดน้ำ ย่อมแย่กว่าแน่ ๆ และทีสำคัญ เสียงต้องดังกว่าแน่นอน

เพื่อแก้ปัญหาเรื่องการรีดน้ำ ผู้ผลิตต่าง ๆ เลยเพิ่ม ร่องรีดน้ำพิเศษไว้ในยางของตัวเองด้วย ถ้าสังเหตุดี ๆ โดยหันหน้าเข้าไปมองหน้ายางตรง ๆ จะเห็นร่องยาง ๆ ขนานกับตามยางกับยาง บางรุ่นก้มี 2 ร่อง บางรุ่น 4 ร่อง บางรุ่น มีทั้งเล็กทั้งใหย่ บางรุ่น ก็ร่องละเท่าๆ กัน นั้น..คือร่องรีดน้ำมันเองครับ

แต่ใช่ว่า ไอ้ร่องนี้มีมากแล้วมันจะดี เพราะต่อให้มีมาก ๆ แต่ถ้าไม่สามารถรีดน้ำ ให้ออกไปจากหน้ายางได้ ก็ไร้ประโยชน์ จึงยังจำเป็นต้องมี ร่องระหว่างดอกยาง เพื่อช่วยให้การรีดน้ำไปด้านข้างของยางอยู่นั้นเอง

เวลาเลือกดอกยาง ก็ให้เลือกจาก ลายที่ชอบก่อนแล้วลองคิดว่า ตัวเองเป็นพื้นน้ำดู ถ้าหากต้องเข้าไปเล่นเขาวงกตในยางนี้แล้ว เราจะมีทางออกได้อย่างรวดเร็วรึเปล่า ถ้าออกได้เร็วก็แปลว่ยางเส้นนี้รีดน้ำดีเยี่ยม ออกยาก ๆ ก็แปลว่า ยางเส้นนั้นคงไม่ค่อยเหมาะกับการลุยน้ำ (แต่อาจจะวิ่งทางเรียบได้แจ่มก็ได้)


อีกเรื่องที่ลืมพูดไปคือ เรื่องของ ทิศการหมุนของยางครับ

ยางบางรุ่น มีการกำกับทิศการหมุนเอาไว้ด้วย ทั้งนี้เพราะว่า ดอกยางของเค้า ได้ออกแบบให้มีการรีดน้ำได้ดีกว่า ถ้าหมุนไปตามทิศที่กำหนด (นึกถึงระหัสวิดน้ำดูครับ) แต่ถ้าใส่ผิดแล้วกลับด้านกัน ถ้าพื้นแห้ง ๆ ก็คงไม่ได้เป็นอันตรายหรอก แต่ถ้าเปียกขึ้นมา ยางก็คุณ แทนที่จะวิดน้ำออก ก็หลายเป็นว่า ยางมันจะยาม ด้านร้ำที่ขังเอาไว้ กับดอกมันซะเอง อันตรายแน่ ๆ ครับ


จบเรื่องยืด ๆ ยาวของยาง กันซะที
มีผิด มีตก มีมั่วตรงไหน ก็บอกกันได้นะครับ
เพราะเรื่องที่เขียน ประมวลมาจากสมองของผมเอง มิได้อ้างอิงจากแหล่งข่าวอื่นใด ยกเว้น tire calc ก็ไปลองใช้งานกันได้ที่นี่ http://www.miata.net/garage/tirecalc.html
วันที่: 04 Jun 07 - 13:15

 ความคิดเห็นที่: 9 / 25 : 271300
โดย: JipJeep
โอ้สสส!!! ความรู้อีกแล้น!! เก็บๆๆ
วันที่: 04 Jun 07 - 13:19

 ความคิดเห็นที่: 10 / 25 : 271302
โดย: จ๊อด @The Pirates
วันที่: 04 Jun 07 - 13:25

 ความคิดเห็นที่: 11 / 25 : 271314
โดย: t O r @ The Pirates
สรุปว่าที่พี่คิดนี่ถูกป่าว (วะ)

แปลว่าถ้าตอนนี้ผมวิ่ง 100 km/hr ความเร็วจิงจะเป็น 103.7 km/hr ใช่หรือไม่ ??
แล้วถ้าผมระยะทางวิ่ง 100 km ระยะทางจิงเป็น 103.7 km ใช่ป่าวคับ

เพราะเดี๋ยวที่บริษัทจะแข่ง really (กรู) ต้องคำนวณระยะทางใหม่อ่ะ T.T
วันที่: 04 Jun 07 - 15:19

 ความคิดเห็นที่: 12 / 25 : 271319
โดย: ผมเดาเอา
เส้นรอบวงใหญ่ขึ้น

น่าจะเกี่ยวกับว่า เครื่องยนต์มันมีแรงม้าแรงบิด เหลือๆ หรือเปล่า

ถ้าใหญ่ขึ้น 10% แต่เครื่องออกแรงมากขึ้น แค่ 5%

อันนี้ประหยัดขึ้นแน่ๆครับ

เคยเปลี่ยนจาก 195 60 14 รอบวง 61 กว่าเซนต์

เป็น 195 55 15 รอบวง 59 เซนต์กว่าๆ

วิ่งทางไกล เปลืองขึ้น แบบรู้สึกได้
วันที่: 04 Jun 07 - 15:48

 ความคิดเห็นที่: 13 / 25 : 271321
โดย: ผมเดา
ว๊า พิมพ์ผิด

195 65 14 รอบวง 191 cm

195 55 15 รอบวง 187 cm
วันที่: 04 Jun 07 - 15:54

 ความคิดเห็นที่: 14 / 25 : 271394
โดย: TWT
โอว โพสท์ทิ้งไว้ กลับมาดูอีกที ความรู้จากคุณเปิดสวิทช์ เพียบๆเลยครับ ขอบคุณครับ
คุณน้องต่อ เดี๋ยวนะกำลังงงๆ เหมือนกัน แต่ใส่ล้อใหญ่แล้วเต็มซุ้มสวยดีจริงๆ ไม่งั้นโครโนสทุกคันเลย ช่องเบ้อเริ่มเทิ่ม...
วันที่: 04 Jun 07 - 20:19

 ความคิดเห็นที่: 15 / 25 : 271403
โดย: t O r @ The Pirates
มันก้อไม่เยอะหรอกคับพี่

แต่ที่ตามมาคือ นั่งหลังหลายๆคน แล้วเวลาเจอเนินนี่ติดคับ ครูดนิดหน่อย

แต่พอดีรถผมให้นั่ง 2 คน ^^ เลยม่ะสน

ปล. ช่วยผมคิดด้วยนะ กำลัง งง เลย
วันที่: 04 Jun 07 - 21:18

 ความคิดเห็นที่: 16 / 25 : 271441
โดย: @
195/65R14------->205/55R16

เปลืองขึ้นเห็นๆ ไม่ต้องจับไมล์เลยครับ
ตอนนี้เติมแก๊สบ่อยกว่าเดิมมากทั้งที่วิ่งเส้นทางเดิมๆ
แต่ขับได้ดีขึ้นกว่าเดิมเยอะ ยิ่งเวลาเข้าโค้งรู้สึกได้เลย
วันที่: 04 Jun 07 - 23:39

 ความคิดเห็นที่: 17 / 25 : 271469
โดย: บุ๊ง
quote

ลองคิดเล่น ๆ ดูก่อนได้ครับ

สมมุให้เส้นรอบวงยาวเดิมเท่ากับ 100cm ถ้าจากโจทย์ของพี่ต่อคือ 3.7% คิดง่าย ๆ ว่า 5% ก็แล้วกัน นั้นคือ ยางใหม่เส้นรอบวง = 105cm

จากเดิมนะครับ ล้อหมุน 1 รอบ ได้ทาง 100cm สมมมุติให้เพลา หมุนไป 1/10 ก็คือรอบ ๆ 10 รอบการหมุนเพลา (การหมุนวงใน จะต้องมากกว่าการหมุนวงนอกที่มีรัศมีการหมุน (เส้นผ่านศก.มากกว่า)

แต่พอเปลี่ยนยางมาใหม่แล้ว เพลาหมุนเท่าเดิมคือ 10 รอบ แต่ตัวล้อเอง...ยังคงหมุนไม่ครบรอบเลย (ขาดไปนิด)

กลับกัน...ถ้าให้ยางหมุนรอบหนึ่งรอบเต็ม 105cm เทียบกับอัตราทดเดิมคือ 10 เพลาก็หมุนไป 10.5 รอบ เห็นม่ะ เพิ่มขึ้นมานิดนึงแล้ว

รบกวนคุณ Switch_ON ช่วยอธิบายหน่อยครับ

ตรงประโยคที่ว่า : แต่พอเปลี่ยนยางมาใหม่แล้ว เพลาหมุนเท่าเดิมคือ 10 รอบ แต่ตัวล้อเอง...ยังคงหมุนไม่ครบรอบเลย (ขาดไปนิด)

คือเพลากับล้อมันติดกันอยู่ใช่ไหมครับ ไม่ได้คิดเรื่องการสลิปอะไรเลยนะ เพลาหมุน 1 รอบ ล้อก็ต้องหมุน 1 รอบซิครับ ล้อจะหมุนไม่ครบรอบได้ไงอ่ะครับ

ซึ่งทำให้ paragraph นี้ ผมสับสนอย่างรุนแรง

จากการเปรียบเทียบข้างต้น สรุปได้ว่า
ถ้าเส้นรอบวงเพิ่ม (คำนวนแค่เส้นรอบวงนะรับ ยังไม่ได้คิดเรื่องหน้ากว้างของยาง) การที่จะทำให้รถวิ่งได้ทางเท่าเดิม จำเป็นต้อง ใช้รอบการหมุนของเพลาที่เพิ่มขึ้น นั้นแปลว่า เครื่องจะทำงานเพิ่มขึ้นในระยะทางที่เท่ากัน

แต่กลับกันทางเส้นรอบวงยางลดลง ในระยะทางที่เท่ากัน เครื่องจะทำงานน้อยลง

ผมยังไม่สามารถหาเหตผล ได้ว่า ในระยะทางเท่ากัน ล้อที่เส้นรอบวงมากกว่าจะต้องหมุนในจำนวนรอบมากกว่าได้อย่างไร

รบกวนอธิบายเพิ่มอีกหน่อยครับ สับสนจริงๆๆๆๆ

PS. คุณ Switch_ON นี่ พี่บาส รึ คุณภู รึ ใครครับ ผมรู้จักไหมครับ
วันที่: 05 Jun 07 - 08:48

 ความคิดเห็นที่: 18 / 25 : 271480
โดย: t O r @ The Pirates
^
^
คุณภูคร๊าบบบบบ

ปล. ยังรอคำตอบอยู่นะ จะได้คำนวณระยะทางใหม่ถูก ไม่งั้น (กรู) หา RC ไม่เจอแน่ๆ
วันที่: 05 Jun 07 - 09:17

 ความคิดเห็นที่: 19 / 25 : 271740
โดย: Switch_On!
ผมเองแหละพี่บุ๊ง ตาต่อเฉลยให้แล้ว

พี่ถามต่อผมก็ชักงง ๆ ยิ่งดึก ๆ ยิ่งงงตัวเองอีก

ขอเวลาไปคิดก่อนนะ
วันที่: 06 Jun 07 - 01:47

 ความคิดเห็นที่: 20 / 25 : 271743
โดย: Switch_On!
เอาใหม่ ๆ ..... เริ่มรู้ตัวแล้ว

ลืมอันเก่าไปก่อนนะครับ ถ้าอ่านมาแล้ว อาจจะผิดจริง ๆ

ใช่แหละ...เพลาหมุน 1 รอบ ล้อก็จะหมุนหนึ่งรอบเหมือนกัน ซึ่งผมยกตัวอย่างผิดไป แต่ความหมายอ่ะไม่น่าผิด

เลยคิดมาให้ คราวนี้ ต้องหาตัวช่วยสักเล็กน้อย

อุปกรณ์คือ
1. ไม้จิ้มฟัน จำนวน 2 อัน แทนเพลา
2. ไส้กรอก หั่นตามขวางเป็นวง ๆ เอามา 2 วง
3. หมูยอ หั่นตามขวางเป็นวงง ๆ เหมือนกัน เอามาสองวง

จากนั้นก็เริ่มประกอบได้เลย ได้เอา ไส้กรอก และ หมูยอเสียบปลายไม้จิ้มฟันตามรูป

[ ]----[ ] <=== อันนี้ไส้กรอก ล้อเล็ก

| |____| | <==== อันนี้หมูยอ ล้อใหญ่ ๆ
| | | |

หน้าตาคล้าย ๆ ดัมเบลน่ะครับ

ตานี้ ลองกลิ้งมันดูครับ (แนะนำให้กลิ้งบนจาน เสร็จแล้วจะได้กินต่อได้) เริ่มจาก mark ตำแหน่งเริ่มต้นไว้ก่อน อาจจะกดให้แหว่งสักนิด ให้พอสังเกตได้ แต่อย่างเพิ่มกินซะหมดล่ะ

จะเห็นว่า....ล้อหมุน หนึ่งรอบ ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ เพลามันก็หมุนหนึ่งรอบจริง ๆ นั้นแหละ ผมอธิบายผิดไปจริง ....

แต่...เดี๋ยวก่อน ขอแก้ตัว...บ้าง

ที่นี่ ลองหมุนไอ้สองอันนี้แข่งกันครับ จะเห็นว่า ในระยะทางที่เท่ากัน ล้อที่ใหญ่กว่า จะใช้รอบการหมุนที่น้อยกว่า นั้นก็คือ เพลาก็หมุนน้อยรอบด้วย

นั้นก็คือในทางเท่ากัน ล้อที่ใหญ่กว่า ย่อมใช้รอบเครื่องน้อยลงด้วย...แต่ครับแต่

ถ้าจำได้สมัยเรียนฟิสิกส์ แล้วเกือบจะตกกัน...ด้วยหลักของ ทอร์กแล้ว...ถ้ารัศมีการหมุนใหญ่ขึ้นก็ต้องใช้แรงบิด(ทอร์ก)ที่สูงกว่า ในการทำให้โหลดเคลื่อนที่ได้ (ใครจำสมมการได้มาโพสบอกด้วย)

พอเอามารวมกันแล้ว ก็จะได้ว่า แม้ล้อใหญ่ขึ้น จะใช้รอบการหมุนของเพลาน้อยลง เมื่อต้องการให้ได้ทางเท่าเดิม แต่ก็ต้องพลังงานในการออกแรงขยับเพิ่มขึ้น นั้นก็คือ น้ำมันต้องง่ายเพิ่ม เพื่อให้มาซึ่งแรงบิดที่สูงขึ้น ก็กินน้ำมันเพิ่มแหง่ม ๆ

ทางกลับกัน ถ้าทำให้ล้อเล็กลง แรงที่ใช้ขับก็จะลดลง แต่ในทางเท่าเดิม รอบก็ต้องจัดมากขึ้น แลกกันไป

คิดต่ออีกนิด...รถเราใช้แรงมาที่สุดตอนไหน คำตอบคือ ตอนออกตัวนั้นเอง (หรือกระทั้งเร่งแซง) ดังนั้น ถ้ารถติด ต้องออกตัวบ่อย ๆ ล้อใหญ่ ๆ ก็ต้องกินน้ำมันแหง่ม ๆ เพราะใช้แรงฉุดเยอะ ต้องลงคันเร่งหนักขึ้น ในขณะที่ ล้อเล็ก ๆ จะขับสบายกว่า

แต่พอรถเริ่มวิ่งได้ความเร็วแล้ว ล้อใหญ่ก็จะเริ่มได้เปรียบมากขึ้น ในขณะที่ล้อเล็ก ๆ ต้องซอยถี่ ๆ เพื่อตามขึ้นมาให้ทัน (อย่างลืมว่า สมมติฐานคือ ระยะที่ต้องการวิ่งเท่า ๆ กันนะ)


อ่า...ที่นี่ไม่รู้ว่าหายงง หรือว่าเริ่มงงหนักกว่าเก่าอีก
ยังไงก็ช่วย ๆ กันแก้นะครับ ผมก่อนพิมพ์คิดว่าตัวเองไม่งงแล้ว

แต่พอพิมพ์ไปเรื่อย ๆ ชักง่วง ชักงง....โอ๊ย ไปนอนก่อนล่ะครับ
วันที่: 06 Jun 07 - 02:15

หน้าที่: [1]   2