Close this window

สาเหตุการเกิด BackFire
กระทู้นี้เป็นกระทู้ต่อจากกระทู้การป้องกันท่อไอดีระเบิดจากการเกิด BackFire ครับ
สาเหตุการเกิดแบกไฟร์ในความคิดของผมน่าจะเกิดได้สองกรณีคือ เกิดจากการผิดจังหวะในการระบายไอเสีย และเกิดจากการจุดระเบิดนอกลูกสูบ
โดยปกติแล้วการออกแบบเครื่องยนต์ได้ออกแบบให้มีการจุดระเบิดเฉพาะในห้องเผาไหม้เท่านั้นก็คือในกระบอกสูบ แต่การเกิดแบกไฟร์เป็นการจุดระเบิดที่นอกกระบอกสูบ หรือการเกิดจุดระเบิดที่กระบอกสูบแล้วถูกระบายไอเสียผิดช่องทาง โดยระบายออกมาทางท่อไอดีแทนทางท่อไอเสีย จึงทำให้เกิดการระเบิดอย่างรุนแรงเนื่องจากที่ท่อไอดีมีแก๊สหรือนำมันผสมอากาศที่พอเหมาะต่อการเผาไหม้รออยู่ โชคดีที่การระเบิดนี้ถูกจำกัดอยู่เฉพาะในท่อไอดีเท่านั้นไม่ลามไปยังท่อนำเชื้อเพลิงซึ่งเป็นแก๊สหรือนำมันเนื่องจากในท่อแก๊สมีแต่แก๊สเท่านั้นยังไม่ได้ผสมกับอากาศจึงไม่สามารถติดไฟครับ
เท่าที่ผมเคยมีประสพการณ์ ผมเคยเจอเฉพาะการระบายไอเสียผิดจังหวะเท่านั้น
1. การระบายไอเสียผิดจังหวะ ตามที่ผมมีประสพการณ์และวิเคราะห์ในความคิดเห็นของผม จะเกิดขึ้นเฉพาะในขณะที่เครื่องไม่มีแรงความเร็วรอบเครื่องยนต์ตำมากๆใกล้จะดับ หรือในระหว่างสตาร์เครื่องยนต์โดยเฉพาะอย่างยิ่งแบตเตอรีไฟอ่อนมากๆจนไม่มีแรงหมุนเครื่องยนต์ในจังหวะที่ลูกสูบกำลังอัดไอดีเข้าสู่ศูนย์ตายบนหรือตำแหน่งยอดบนสุดเพื่อให้ไอดีมีความดันสูงสุดในจังหวะนี้จะเกิดการจุดระเบิดโดยปกติการจุดระเบิดได้ออกแบบให้จุดก่อนศูนย์ตายบนเล็กน้อยประมาณ 10 องศาสำหรับนำมันแต่สำหรับแก๊สจะมากกว่าประมาณ 20 องศา เมื่อเครื่องยนต์ไม่มีแรงหรือมอเตอร์สตาร์ไม่มีแรงก็จะไม่มีแรงที่จะชนะแรงที่เกิดจากการจะระเบิดนี้ทำให้ลูกสูบหมุนถอยหลังจึงเป็นเหตุให้ไอเสียซึ่งเป็นเปลวไฟถูกดันไหลย้อนกลับไปยังทางท่อไอดีครับ
ผมเสียดายไม่สามารถสร้างรูปอธิบายสาเหตุการเกิดแบกไฟร์ในกรณีนี้ได้
2. การจุดระเบิดนอกลูกสูบ ตามที่ทุกคนเข้าใจกันครับที่เกิดจากการรั่วของระบบไฟจะระเบิดหรือส่วนผสมบางเกินไป ในกรณีนี้ผมยังไม่มีประสพการณ์ แต่วิเคราะห์จากหลักการทางวิทยาศาสตร์ได้ดังนี้
ตามหลักการแล้วการที่เกิดจุดระเบิดของเชื้อเพลิงได้จะต้องมีองค์ประกอบที่เหมาะสมดังนี้
1. ส่วนผสมของเชื้อเพลิงและอากาศ(Oxygen)ในอัตราส่วนทีเหมาะสม
2. ตัวจุดระเบิดได้แก่ การสปากร์ของไฟฟ้าอาจจะมาจากหัวเทียนหรือไฟฟ้าสถิต(ESD, ElectroStatic Discharge)ก็ได้ หรือ อุณหภูมิสูงที่เหมาะสม หรือความกดดันสูงที่เหมาะสม อย่างใดอย่างหนึ่งหรืออาจจะผสมกันเช่นในกระบอกสูบจะใช้ทั้งหัวเทียนและความกดดันสูง
จากองค์ประกอบทั้งสองจะเห็นได้ว่า การจุดระเบิดนอกกระบอกสูบที่ท่อไอดี องค์ประกอบที่1 เหมาะสมมาก จะขาดเฉพาะองค์ประกอบที่2 เท่านั้น เมื่อวิเคราะห์แล้วสามารถตัดอุณหภูมิและความดันสูงไปได้เลยก็จะเหลือเฉพาะการสปาร์กเท่านั้นซึ่งจะเกิดในรูปแบบของไฟฟ้าสถิตเท่านั้น ดังนั้นก็จะมีคำถามตามมาว่าไฟฟ้าสถิตเหล่านี้มาจากไหน ตามที่พวกเราเข้าใจกันว่ามาจากการรั่วของไฟฟ้าแรงสูงของวงจรจุดระเบิด(หัวเทียน) ก็อาจจะเป็นสาเหตุหนึ่งก็ได้
ตามที่ผมเข้าใจในการเกิดไฟฟ้าสถิตในอากาศจะเกิดขึ้นได้มากในฤดูหนาว ซึ่งความชื้นในอากาศจะน้อยมากที่เรียกว่าความชื้นสัมพัธต่ำ เมื่อวัตถุเคลื่อนที่ผ่านวัตถุต่างๆก็จะมีการถ่ายเทประจุซึ่งกันและกันทำให้วัตถุที่เคลื่อนที่มีความต่างศักด์ไฟฟ้าสูงขึ้น เช่นคนเคลื่อนที่ผ่านพรมตัวคนก็จะมีประจุไฟฟ้าสูงขึ้นเมื่อเทียบกับพื้นโลก พอตัวเราไปสัมผัสโลหะซึ่งต่อลงดิน(พื้นโลก) ก็จะเกิดการคายประจะผ่านโลหะที่ไปสัมผัสนั้น
เมื่อมาวิเคราะห์ในท่อไอดี เชื้อเพลิงจะได้รับประจุไฟฟ้าเฉพาะตอนที่ไหลผ่านท่อไอดีที่ตัวท่อเป็นพลาสติกและจะไปคายประจุที่ท่อโลหะที่เป็นส่วนของปีกผีเสื้อต่อเข้ากับเครื่องยนต์ โลหะในส่วนนี้ทั้งหมดรวมทั้งเครื่องยนต์จะต่อลงกราวด์ที่เป็นระบบสายไฟลบของวงจรไฟฟ้ารถยนต์ ซึ่งจะครบวงจรของประจุไฟฟ้าสถิต ถ้าเป็นไปได้ตามนี้ก็แสดงว่าในระหว่างที่คายประจุที่ปีกผีเสื้อจะต้องเกิดประกายไฟขึ้นถึงจะทำให้เกิดการติดไฟได้
จากการวิเคราะห์ที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าเราต้องพยายาคายประจุไฟฟ้าของอากาศให้ได้ก่อนที่จะผสมกับเชื้อเพลิง ดังนั้นระบบป้อนแก๊สที่เป็นหัวฉีดที่ฝังหัวฉีดที่ท่อแมนนิโฟร์(เป็นท่อโลหะที่ต่อเข้ากับเครื่องยนต์) จึงไม่มีปัญหาสำหรับกรณีนี้ แต่สำหรับระบบป้อนแก๊สที่เป็น Mixer ผมคิดว่าน่าจะติดกับวาล์วปีกผีเสื้อครับและให้ยึดติดเข้าด้วยกันด้วยวงจรทางไฟฟ้าซึ่งจะมีข้อดีดังนี้
1. จะมีการคายประจุไฟฟ้าของอากาศก่อนที่จะผสมกับแก๊ส
2. เชื้อเพลิงที่มีค้างอยู่ในท่อไอดีมีจำนวนน้อยถ้ายังเกิด BackFire ก็จะไม่เกิดการระเบิดที่รุนแรงมากนัก

แต่ก็ยังมีสาเหตุที่ทำให้เกิด BackFire ได้อีกอย่างหนึ่งคือการเกิดการจุดระเบิดข้ามสูบซึ่งอาจจะเกิดขึ้นได้เหมือนกัน สาเหตุน่าจะเกิดจากวงจรจุดระเบิดมีปัญหาเช่น สายหัวเทียนขาดหรือเสือมทำให้ไฟฟ้าแรงสูงในวงจรไม่สามารถจุดระเบิดในกระบอกสูบที่กำหนดได้ทำให้กระโดดข้ามไปจุที่ลูกสูบอื่นที่กำลังดูดเชื้อเพลิงเข้ามาจึงทำให้เกิดการลุกไหม้ที่ท่อไอดีได้

ดังนั้นจะเห็นได้ว่ามีตั้งหลายสาเหตุในการเกิด BackFire ดังนั้นจึงควรจะป้องกันไว้ก่อนโดยการติดตั้งระบบป้องกันท่อไอดีระเบิดที่ผมเสนอในกระทู้ก่อนครับ

ผมขอจบกระทู้ของผมเพียงแค่นี้หวังว่าคงจะเป็นประโยชน์ต่อเพื่อนๆสมาชิกทุกคนครับ

ขอบคุณมากครับ
โดย: Montri   วันที่: 17 Jul 2008 - 10:07


 ความคิดเห็นที่: 1 / 9 : 367078
โดย: 323 ซีดาน สีน้ำเงิน คนแปด
ขอบคุณค่ะ
ตั้งแต่ติดแก๊สมา ปีกว่า ได้มีประสบการณ์แบ๊คฟาย 1 ครั้งค่ะ เพราะ ไปเปลี่ยนคอมแอร์มา ช่างแอร์ประอากาศเข้าเยอะไป รับรถมา รถอืดมาก วิ่งไม่ออก ตื่อมาก อีกวันก็ ปุ้ง ดับ แล้วก็ขับไปหาช่างติดแก๊ส รามอินทรา 61 เค้าบอก มีคนปรับอากาศเข้ามากเกินไป พอเค้าจูนให้ใหม่ ก็ไม่เป็นอีกเลยค่ะ

ของเพื่อ ปัง ปัง เปลี่ยนหัวเทียนก็หายค่ะ
วันที่: 17 Jul 08 - 11:10

 ความคิดเห็นที่: 2 / 9 : 367107
โดย: พจน์400
-ขอบคุณครับ
วันที่: 17 Jul 08 - 13:04

 ความคิดเห็นที่: 3 / 9 : 367122
โดย: wit...323
จากข้อที่ 2 การจุดระเบิดนอกลูกสูบ สาเหตุคือการปรับให้มีการจ่ายแก๊สในปริมาณที่น้อยเกินไป ตามความเข้าใจของผม ในปริมาตรเท่าเดิมแต่มีแก๊สน้อยลงจะมีปริมาณของออกซิเจนมากขึ้น โดยออกซิเจนจะเป็นตัวเร่งให้อุณหภูมิตอนจุดระเบิดสูงขึ้น (ยกตัวอย่างจากการเชื่อมแก๊ส ถ้าเราเพิ่ม O2 เข้าไปไฟจะแรงขึ้น) ซึ่งในขณะที่เครื่องยนต์ทำงานจะมีเศษเขม่าเกาะอยู่ตามผนังสูบ เมื่ออุณหภูมิสูงมาก ทั้งลูกสูบและเขม่าเหล่านี้ก็จะมีความร้อนสูงกว่าปกติ ในจังหวะที่ลิ้นไอดีเปิดออกเพื่อให้อากาศผสมแก๊สเข้ามา เจอกับความร้อนที่สูงกว่าปกติมาก จึงทำให้เกิดการชิงจุดระเบิดก่อนที่หัวเทียนทำงาน ในขณะที่ลิ้นไปดียังเปิดอยู่เกิดการระเบิดขึ้นจึงเกิดเป็น BackFire ครับ
วันที่: 17 Jul 08 - 15:22

 ความคิดเห็นที่: 4 / 9 : 367127
โดย: muying
up up up
วันที่: 17 Jul 08 - 15:53

 ความคิดเห็นที่: 5 / 9 : 367174
โดย: Montri
ขอบคุณมากครับคุณ Wit..323 ที่ช่วยเสริมครับ เพราะฉะนั้นการปรับแก๊สต้องอย่าให้บางจนเกินไป และที่ผมเข้าใจอีกอย่างหนึ่งเครื่องยนต์เก่าที่มีอายุมาก
แล้วไม่ได้รับการบำรุงรักษาเท่าที่ควร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
การกินน้ำมันเครื่องมากกว่าปกติ ซึ่งน้ำมันเครื่องเหล่านี้ไหลลงไปยังห้องเผาไหม้ ทำให้เกิดการเผาไหม้ไม่สมบูรณ์ทำให้เกิดเขม่ามากกว่าปกติ จึงอาจจะเป็นอีกสาเหตุหนื่งที่ทำให้เกิด BackFire ได้ ดังนั้นถ้าเครื่องหลวมแล้วควรรีบจัดการซ่อมซะ
ขอบคุณมากครับ
วันที่: 17 Jul 08 - 21:00

 ความคิดเห็นที่: 6 / 9 : 367196
โดย: เซนท์โซเฟียร์
ในที่สุด ผมก็สามารถเรียก ลุง มนตรีได้เต็มปาก (ดูจากรูปนะงับ) เอิ๊กๆ ล้อเล่นครับลุง มีประโยชน์ดีครับ ตอนนี้ใช้มาตั้งแต่เดือน 2 ยังไม่มีอาการครับผ๊ม
วันที่: 17 Jul 08 - 21:53

 ความคิดเห็นที่: 7 / 9 : 367338
โดย: Montri
จากที่คุณ wit..323 ได้ให้ความคิดเห็นมา ผมก็ได้ไปค้นคว้าต่อผมได้เจอหนังสือที่เก่ามากพิมพ์มาประมาณ 30 ปีแล้วชื่อหนังสือ คู่มือการซ่อมและการบำรุงรักษารถยนต์ เสียดายหน้าปกขาดหมดแล้วไม่ทราบชื่อผู้แต่งแต่พิมพ์ที่สำนักพิมพ์ โรงพิมพ์เจริญธรรม ซึ่งได้เขียนเกี่ยวกับการกำจัด เขม่า-ถ่าน โดยได้เขียนเหตุผลในการกำจัดไว้ดังนี้
" เนื่องจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงเป็นจำนวนมากในกระบอกสูบของเครื่องยนต์ที่ถูกใช้มาเป็นเวลานาน มันจึงมีเขม่าถ่านจับอยู่บ้าง ที่ฝาครอบกระบอกสูบและส่วนบนของกระบอกสูบจะมีถ่านจับอยู่จนแข็งทำให้การทำงานของเครื่องยนต์เสื่อมลง จะเกิดเสียงน้อค อาการทั้งสองอย่างนี้รวมกัน บอกให้รู้ว่าถึงเวลาที่จะต้องกำจัดถ่านเหล่านั้นออก"
จากเหตุผลดังกล่าวทำให้สามารถวิเคราะห์ต่อได้ว่า เมื่อมีเขม่าถ่านจับอยู่จนหนาจะทำให้เกิดอุณหภูมิสูงตกค้างในกระบอบสูบที่เกิดจากการจุดระเบิด และไม่สามารถคายออกได้หมดในจังหวะคายไอเสีย ซึ่งความร้อนสูงที่เขม่าถ่านนี้ ก็ทำให้เกิดการจุดระเบิดก่อนที่หัวเทียนจะจุดในจังหวะรอบต่อไป ก็คือเสียงน้อค
คราวนี้ถ้าเชื้อเพลิงเป็นแก๊สตามที่คุณ Wit ได้กล่าวไว้ ถ้าปรับให้บางเกินไปจะทำให้ความรัอนสูงมากกว่าปรกติก็จะยิ่งทำให้เกิดการจุดระเบิดเร็วยิ่งขึ้น ซึ่งอาจจะเร็วจนเกิดการจุดระเบิดในจังหวะการดูด ซึ่งก็เป็นผลทำให้เกิด BackFire ขึ้นเกิดความเสียหายมากมายแล้วแต่ความรุนแรง
จากการวิเคราะห์ที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าตัวการที่สำคัญที่ทำให้เกิด BackFire ก็คือพวกเขม่าถ่านที่จับอยู่ที่ฝาสูบและกระบอกสูบ ดังนั้นแนวทางแก้ไขที่ดีที่สุดผมคิดว่าควรจะกำจัดพวกเขม่าถ่านเหล่านี้ออกให้หมดถ้ารถยนต์ของเราเริ่มมีเสียงน้อคแล้ว ส่วนเรื่องการปรับแก๊สให้หนานั้นถ้าแก้ไขเฉพาะหน้าก็ใช้ได้แต่มันก็สิ้นเปลืองแก๊สและทำให้มีผลต่อสภาพแวดล้อมด้วยครับ

จากหนัวสือที่นำมานี้จะเห็นได้ว่าในสมัยก่อนนอกจากการโอเวอร์ฮอลเครื่องแล้วยังมีการกำจัดพวกเขม่าถ่านด้วย แต่ในสมัยนี้ไม่ทราบว่ายังได้มีการทำกันหรือไม่ ซึ่งการกำจัดเขม่าถ่านผมไม่เคยได้ยินเลยเมื่อไปหาช่างอาจจะต้องไปหาช่างเก่าๆ ส่วนการโอเวอร์ฮอลเครื่องช่างก็ไม่ค่อยแนะนำให้ทำ ไม่ทราบว่าทำไมส่วนใหญ่ชอบแนะนำให้เปลี่ยนเครื่อง ซึ่งอาจจะทำได้สดวกกว่าหรือรวดเร็วกว่าก็ไม่ทราบได้

ขอบคุณครับที่เข้ามาอ่านกระทู้ของผมครับ ผมอยากให้ทุกคนมาช่วยกันออกความคิดเห็นหน่อยครับ ทั้งหมดนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผมครับอาจจะผิดหรือถูกก็ได้ครับ ถ้าทุกคนมาช่วยกันออกความคิดเห็นเราจะได้หาแนวทางแก้ไขได้ถูกต้อง

ขอบคุณมากครับ
วันที่: 18 Jul 08 - 13:06

 ความคิดเห็นที่: 8 / 9 : 367861
โดย: wine
แล้ววิธีการกำจัดเขม่าถ่านนั้นมีวิธีการทำอย่างไร ขอบคุณมากค่ะ
วันที่: 21 Jul 08 - 09:17

 ความคิดเห็นที่: 9 / 9 : 371191
โดย: Montri
เรียนคุณ wine การกำจัดเขม่าถ่านโดยการให้ช่างเปิดฝาสูบแล้วกำจัดเขม่าถ่าน ที่ติดตามส่วนต่างๆของลูกสูบออกให้หมดครับ เมื่อเปิดฝาสูบแล้วควรจะให้ช่างตรวจส่วนต่างๆของลูกสูบด้วย เช่นลูกสูบ แหวนสูบ วาล์วและยางตีนวาล์ว ถ้าดูแล้วสภาพไม่ค่อยดีควรจะเปลี่ยนซะเลย
วันที่: 29 Jul 08 - 23:18