เนื่องด้วย อีพริ้งค์ ยังนอนหน้าแหกอยู่ SMV ผมจึงเหลือ Mazda Ranger ที่บ้านใช้คันเดียว แล้ววันนี้คุณแฟนก็เอาไปซิ่งซะด้วย แล้วก็นะคิดว่าเวรกรรมซ้ำซัด ลูกค้าก็ให้เอาคอมสำรองไปให้ที่ออฟฟิศ ผมจึงต้องแบกคอมออกจากบ้านหนีบเข้าเอวเดินไปขึ้นรถเมล์หรือแท็กซี่ปากซอย
สำหรับท่านที่เคยใช้รถอยู่ทุกวันหลายปี แล้ววันนึงรถพัง จำต้องเดินทางโดยขนส่งมวลชนไม่ว่าจะทางใดก็ตาม คงเข้าใจผมดีว่าตอนออกจากบ้านจะวุ่นวายแค่ไหน เช่น จะขึ้นรถสายไรหว่า ขึ้นกี่ต่อ ไปรอที่ไหน ถ้าขึ้นหลายต่อ ไอ้ต่อแรกมันต้องไปลงที่ไหน แล้วคันต่อไปต้องรอสายอะไร เป็นต้น แค่นั้นยังไม่พอ วันนี้กรูยังต้องแบกคอมพิวเตอร์ (เครื่องพีซี นะครับ ไม่ใช่โน๊ตบุ๊ค) ไปด้วยอีก ความรู้สึกขณะออกจากบ้านมันช่างน่าอภิรมณ์ ยิ่งนัก....
แล้วก็ได้เวลาออกจากบ้าน .....
กระเตงคอมพิวเตอร์ออกมาปิดประตูด้วยอารมณ์หงุดหงิด กับแดดร้อนตอนบ่าย และสายลมที่เงียบสนิท แถมด้วยระยะทางจากบ้านไปปากซอยประมาณ ครึ่งโล ถอนหายใจกับตัวเองในใจคิดว่า สู้เว๊ย....ย เดินงุดๆๆๆ ออกมา
เดินผ่านมาบ้าน หลังที่3 เป็นร้านค้า่ที่ซื้อน้ำมัน น้ำปลา เครือ่งครัว ประจำ หลังที่ 5 มีถังขยะของ กทม. สีเหลือง สีเขียว ใบใหญ่ วางอยู่ มองผ่านๆ เห็นถุงก๊อบแก๊บ ใบนึงกลิ้งดุ๊กๆ ผ่านเท่าไป ว่าจะเตะด้วยความเซ็งแล้ว ดีนะที่มันปลิว ผ่านไปก่อน ก้าวไปอีก 2 ก้าว เอ๊ะ...มันไม่มีลมนี่หว่า ร้อนตับจะแลบ ลมก็ไม่มีพัดซักแอะ แล้วไอ้ถุงตะกี้มันปลิวได้ไงหว่า
ผีหลอกกลางวันแล้วมั๊งเนี่ย กรู...... จะบ้่าเหรอวะ (คิดกะตัวเอง) หันกลับไปมอง .. เพ่ง .. พินิจ.. พิจารณา..........า ถุงใบนั้นมันก็ยัง กลิ้งกุ๊กๆๆ ไปเป็นจังหวะๆ กลิ้งๆ หยุด กลิ้งๆ หยุด
เอ๊ะ มันแปลกๆ นะ .......... ด้วยความสงสัยผมเลยเดินเข้าไปใกล้อีกหน่อย (แต่ก็ยังเว้นระยะห่างจากไอ้ถุงผีสิงนั้นประมาณ 2 เมตร เผื่อมันเป็นผีจะได้ยืดแขนมาจับเราไม่ถึง ..........หุหุ ฉลาดมั๊ย) มันก็แคุ่ถุงพลาสติกขนาดเล็ก สีขาวขุ่นๆ มัดปิดปาก ใบนึง แต่เนื่องจากถุงใบนั้นมันพอจะมีควาามใสอยู่บ้าง ผมจึงพอจะสังเกตุเห็น ก้อนดำๆ ขนาดเท่าลูกมะนาว อยู่ข้างในนั้น แต่ก็ไม่รู้ว่ามันเป็นอะไรอยู่ดี มันนิ่ง ไม่ขยับเขยื้อนมาซักพักแล้ว ตั้งแต่ผมเดินมาใกล้ๆ มัน
ไง...ของมันหว่าเนี่ย ลองเอาตรีนเขี่ยมันดูหน่อยดีฝ่า ว่าแล้วก็ยื่นมือล่างจากสวรรค์ไปเขี่ย ด้วยความสงสัย แต่ ฮึ่บ.....เฮ๊ย.......แม่ม หดขากลับมาเกือบไม่ทัน ตั้งนานไม่ขยับ พอกรูจะไปเขี่ย จะถึงตัวมันอยู่แระ เจือกกลิ้งพรึบๆ มาซะงั้น โต๊ะ จาย โหมะ เลยยย
แต่ๆๆ ขณะที่กำลังตกใจนั้น สายตาอันเฉียบแหลมของผม
ที่จ้องมองก้อนดำๆ ในถุงอยู่ ก็ได้สังเกตุเห็นว่า ถุงมันจะลอยขึ้นลงทุกๆ ครั้งที่ไ้อ้ก้อนดำๆ ในถุงนั้นลอยขึ้นลงด้วย ในใจก็เลยพอจะสรุปได้ว่า ไอ้ก้อนดำๆ นั่นมันต้องเป็น ญาติห่างๆ นางอุทัยเทวี แน่ๆ คิดได้ดังนั้น ความคิดเรื่อง ไอ้ผีถุง ก็หายไป จึงบังเกิดความกล้า เข้าไปหยิบดู ไม่ต้องถึงกับหยิบหรอกครับ แค่ก้มไปดูก็เห็นกันจะๆ แล้วว่า มันคือ คางคก ใช่แล้วครับ คางคกที่หน้าตาเหมือนกบ ตัวตะปุ่มตะปั่ม กินแมลงเม่า ตัวย่อมๆ นี่เอง .................... เวรกรรม ทำกรู สงสัยใต้แสงแดดร้อนอยู่ตั้งนาน เสียเวลาฉิบ ยิ่งร้อนๆ รีบๆ หงุดหงิดๆ อยู่ ไปดีกว่า ...............
.
.
.
ผมเดินมาถึงปากซอย รอรถเมล์อยู่ ในหัวตอนนั้นมันแปลกๆ ครับ เหมือนมีอะไรแทรกๆ เข้ามาตลอดจะคิดหาสายรถเมล์การต่อรถ ก็คิดไม่ออก ก็เลยพยายามคิดถามตัวเองมันเป็นอะไรกันวะ วันนี้.....ลองนึกทบทวนย้อนกลับไปถึงระหว่างทางจากบ้านก่อนถึงป้ายรถเมล์ กรูลืมอะไรรึเปล่า.....ไม่มี แต่รู้สึกว่ามันแปลกๆ ติดๆ มีอะไรแทรกๆ ในหัวตั้งแต่.......ตั้งแต่รู้ว่าไอ้ผีถุงนั่น คือคางคก
ครับ.....ฉึก....เหมือนมีอะไรแทงขึ้นมาทันที เออ ...แล้วไอ้เจ้าคางคกนั่น มันอยู่ในถุงไ้ดยังไง อันนี้คงตอบไม่ยาก .........ก็คงจะสาวๆ บ้านหลังนั้นหรือบ้านตรงข้ามที่ไม่ค่อยชอบขี้หน้าญาตินางอุทัยตัวนี้ซักเท่าไหร่ เห็นมันกระโดดๆ อยู่ในบ้านเลยเอาไม้กวาดเขี่ยมันเข้าถุงมัดปากโยนออกนอกบ้านมาก็เท่านั้น แต่คำถามที่ว่ามันไปอยู่ในถุงได้ยังไง มันยังไม่สำคัญไปกว่า มันอยู่ในถุงตั้งแต่เมื่อไหร่ คิดดูแล้วกันครับในนั้นจะมีอากาศให้มันหายใจได้นานแค่ไหนกันเชียวแค่ตั้งแต่เช้า ป่านนี้มันบ่ายแล้วแถมร้อนด้วย แล้วมันจะออกจากถุงไงหว่า ผมว่ามันไม่น่าจะแกะถุงเป็นนะ
ถ้าเราอยู่ในสภาพนั้น อากาศร้อนๆ หายใจก็ไม่สะดวก ไม่มีอะไรกินตั้งแต่เช้า แถมมีคนเอาถุงมาคลอบหัวอีก ..... จะเป็นไงน้ออออ
แต่รีบนะเนี่ย......
.
.
.
.
ผมลุกจากที่นั่งรอป้ายรถเมล์หน้าปากซอย เดินกลับบ้านพร้อมกับ พีซีเหน็บเอวหนักอึ้ง จุดหมายที่เดียว ตอนนี้คือ ผีถุงนั่น ในหัวตอนนี้ความรีบที่จะเอาเครื่องไปส่ง ความหงุดหงิดที่จะหาทางขึ้นรถเมล์หลายต่อ ความร้อนจากตะวันตอนบ่าย มันหายไปไหนหมดไม่รู้ครับ ...... มันมีแต่ความหงุดหงิดที่ว่า ไอ้คางคกน้อยตัวนั้นจะเป็นไงมั่งน้า มันจะอยู่ที่เดิมตรงนั้นมั๊ย ถ้าไม่อยู่จะหามันเจอรึเปล่า จ้ำๆๆๆ ขามันไม่ทันความคิดจริงๆ ครับ วิ่ง......เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
ตอนวิ่งมาสังเกตุปลายตาเห็นข้่างทางที่เป็นออฟฟิศ เป็นร้านค้่า มองผมมาตามๆ กัน คงคิดว่าไอ้นี่มันเป็นไรบ้ารึเปล่า บ่ายๆ มาวิ่งกลางถนน ที่เลวร้ายกว่านั้น ถ้าคนที่ไม่เคยเห็นผมอาจจะคิดว่าผมเป็นโจร ฉกคอมพิวเตอร์บ้านไหนมาแล้วกำลังวิ่งหนีรึเปล่า โชคดีที่ไม่มีใครคิดแบบนั้นเวลานั้นนะครับ
วิ่งไปจนถึงถังขยะ เขียวเหลือง ถังเดิมตรงนั้น......ถุงผีใบนั้นหายไปแล้ว ผมวางคอมพิวเตอร์ลงข้างถนน ไม่สนว่ามันจะโดนรถเฉี่ยวกลิ้งพังรึเปล่าแล้วดิ่งไปที่ถังขยะทันทีครับ พยายามลากออกมาทีละถัง ก่อนลากก็ตอ้งดูก่อนว่ามันไปซุกอยู่ใต้ล้อถังรึเปล่าเดี๋ยวจะโดนถีงทับตายซะก่อน ถังเหลือง ออกมา .........ไม่มี ถังเขียว ยกขึ้นดู ใต้ถังไม่มี ลากออกมา ไม่มี .....................อ้าว..แล้วมันไปไหนแล้วล่ะ
หมดหวัง ..นิดนึงครับ ความเสียใจเข้ามาแทนทีในเกือบจะทันทีที่มองไม่เห็นหลังจากยกถังเขียวออกมา ทำไมเราไม่คิดที่จะช่วยมัน ตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น กะอีแค่แกะถุงมันจะไปยากเย็นอะไรนักหนาเนี่ย ผมโทษตัวเองที่ทำไมผมเป็นคนที่เห็นชีวิต ชีวิตนึงด้อยค่ากว่าคำว่า "ขึ้เกียจ" ของตัวเอง.
.
.
.
แต่ในขณะที่ผมกำลัง หดหู่อยู่เล็กๆ นั้น ผมก็เหลือบไปเห็น พลาสติกเล็กๆ สีขาวขุ่นที่ อยากจะเห็นอยู่เมื่อตะกี้ แต่หาไม่เจอ แต่ตอนนี้มันไปซุกอยู่ในซอกกระถางต้นไม้ 2 กระถางของบ้านตรงนั้น ผมดิ่งเข้าไปทันทีครับ พยายามค่อยๆ ดึงถุงใบนั้นออกมาใช่จริงๆ ครับ มันมีก้อนดำๆ เท่าลูกมะนาวเหมือนที่ผมเคยเห็นเมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้วอยู่จริงๆ ด้วย แต่ตอนนี้มันไม่ดิ้นทุรนทุราย เท่าไหร่ คงจะอ่อนแรงลงเต็มที
ผมไม่รอช้ารีึบแก้มัดปากถุงผีใบนี้ออกทันที สอดสายตาเข้าไปข้างในเห็นญาติห่างๆ ของนางอุทัยเทวี คางคกน้อย ตัวย่อมๆ ตัวหนึ่ง นอนนิ่งอยู่หายใจรวยริน ดีนะยังไม่สายจนเกินไป คิดว่ามันคงร้อน และพยายามหาที่เย็นอยู่เท่าที่จะพอช่วยตัวเองได้ จึงเข้าไปอยู่ในซอกกระถางนั่น นี่ละครับดิ้นรนเพื่อเอาตัวรอด วินาทีชีวิตจริงๆ
พอรู้ว่าคางคกน้อยยังมีลมหายใจอยู่ มองซ้าย มองขวา หาที่เหมาะๆ ให้มัน ........ ไม่มี
เอาวะ มือซ้ายช้อนผีถุงซึ่งมีคางคกน้อยอยู่ ไว้ในฝ่ามือ มือขวา หนีบคอมพิวเตอร์เข้าเอว เดินกลับมาบ้านห่างจากจุดเกิดเหตุมาซัก 100 เมตร เข้าบ้านหมาๆ วิ่งมาทักทาย คงนึกว่า เอ๊ะ วันนี้พ่อกลับมาเ็ร็วเนาะ นึกว่าจะกลับเย็นซะอีก วางคอมลงบนโต๊ะ พาไอ้คางคกน้อยไปไว้บนกองดินใต้ต้นมะม่วงในบ้าน บริเวณนั้นค่อนข้างเย็นชื้นแฉะอยู่พอควร มีมด แมลงดิน แยะไปหมด มันคงหาไรกินได้ วางลงบนดีทีแรกมันก็ยังนั่งนิ่งๆ อยู่ซักพัก ผมก็เลยเอาใบมะม่วงลองเขี่ยๆ มันดู มันกระโดด ครับ
วินาทีที่ผมได้เห็นมันกระโดด ผมรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก ยิ้มกับตัวเอง อ๊ะ...รอดแล้วไ้อ้คางคกน้อย ดีนะที่ หมาๆ บ้านผมไม่ไล่จับคางคก หุหุ เอาผีถุงไปใส่ถังขยะ คว้าคอมพิวเตอร์เหน็บเอว ปิดประตู ก้าวออกจากบ้านด้วยความมั่นใจ ไม่หงุดหงิดเหมือนครั้งแรกครับ
ผ่านถังขยะเขียวเหลืองที่จุดเกิดเหตุ ก็จัดของเขาให้เข้าที่เหมือนเิดิม แล้วเดินไปป้ายรถเมล์ นั่งรออย่างมีความสุข (แต่ก็ยังไม่รู้ว่ารอสายอะไรอยู่ดี.....
) สุดท้่ายก็ได้นั่งแท็กซี่ ตามสูตร
แต่.........วันนี้ผมมีความสุขมากกก.....ไม่รู้ทำไม รู้สึกว่า อารมณ์ดีทั้งวัน....................ยิ้มได้ สมองปลอดโปร่งจริงๆ ครับ
อยากให้ทุกท่านเอาความสุขแบบนี้มาแชร์กันครับ
.
.
.