Close this window

รบกวนพี่ๆขอความรู้เรื่อง ground loop ปละการเดินกราวด์ที่ถูกต้องด้วยครับ
เนื่องจากตอนนี้ ระบบไฟผมค่อนข้างมีการฉุดกันพอสมควร การวัดกระแสไฟที่จ่ายมาค่อนข้างปกติ อยากทราบอาการ ground loop กราวด์ไม่พอ และ การเดินกราวด์ที่ถูกต้องครับ
ไม่ใช่แบบเดินสายกราวด์สวยๆไปในจุดต่างๆในห้องเครื่องครับ แต่อยากขอวิธีที่ถูกต้องเพื่อเป็นความรู้ จะนำไปแก้ปัญหาครับ
โดย: Gapmy   วันที่: 25 Nov 2010 - 15:11


 ความคิดเห็นที่: 1 / 10 : 606950
โดย: Gapmy
จากที่ลองค้นหาศึกษามาหลายเวปแล้ว การเดินสายกราวด์เพิ่มเป็นแพๆเพื่อความสวยงามนั้น ไม่ได้ช่วยทำให้ระบบไฟดีขึ้น และเป็นการต่อแบบผิดๆ ซึ่งจากที่อื่นมาเค้าบอกกว่าให้ต่อเป็นวงกลมเป็นทอดๆให้อยู่ใน loop เดียวกัน ระบบกราวด์ถึงจะสเถียร แล้วก็ความต่างศักย์ในแต่ละจุด เนื่องจาก การที่เดินสายกราวด์ไปหลายๆที่อาจไม่ส่งผลดีต่อระบบกราวด์ได้ ซึ่ง อาจทำให้เกิดอาการ ground loop ได้

พี่ๆท่านใดช่วยอธิบายเพิ่มเติมทีครับ
วันที่: 25 Nov 10 - 15:19

 ความคิดเห็นที่: 2 / 10 : 606955
โดย: Gapmy
อีกเรื่องครับ การเดินสายไฟขั้ว+จากไดชาจเดิมเพิ่มมาอีกสายมาต่อเข้าแบตขั้ว+ควรจะมีลีเลย์หรือฟิวส์เพิ่มเติมรึเปล่าครับ
วันที่: 25 Nov 10 - 15:56

 ความคิดเห็นที่: 3 / 10 : 606960
โดย: Switch_ON!
ไม่ต้องคิดมากครับ กราวด์ก็คือกราวด์ ทำให้ไฟมันเดินครบระบบ

ในรถยนต์ จะอาศัยตัวถังทำหน้าที่เป็นสายกราวด์

การต่ออุปกรณ์ต่าง ๆ จากต่อในลักษณ์นี้คือ

batt -> fuse -> equip -> switch -> ground

คือจ่ายไฟผ่านฟิวส์ไปรอที่อุปกรณ์ เมื่อต้องการใช้ก็จะใช้สวิท์เป็นการปิดเปิดให้ลง ground ไฟก็จะเดินครบระบบ ยกเว้น อุปกรณ์ ที่ใช้กำลังไฟสูง ที่ต้องผ่าน relay ก่อน

แต่ในรถยนต์เก่า ๆ ตัวถังจะมีความต้านทางสูงขึ้น นำไฟฟ้าไม่ได้ ณ จุดที่ไกลจากแบตเตอร์ ทำให้ไฟวิ่งได้ไม่เต็มที่ จึงต้องอาศัยการเดินสาย ground ไปยังจุดต่าง เพื่อให้ไฟวิ่งกลับมายังตัวแบตให้ครบวงจรได้สะดวกขึ้น

ดังนั้นจะเดินยังไงก็ไม่มีผิดหรอกครับ ตราบใดที่ได้เดิน + กะ - มาเจอกัน

ส่วนมากกราวด์ loop จะเกิดการไฟรั่วในอุปกรณ์บางอย่าง โดยเฉพาะพวกที่มีตัวเก็บประจุเยอะ ๆ เช่นระบบเครื่องเสียง ทำให้มีไฟ + บางส่วนวิ่งหนีลงกราวด์ไปซะก่อน ไปจึงเดินไม่เต็ม

วิธีทดสอบ ให้ถอดขั้วลบออกจากแบต แล้ว เอาโหลดไฟ 12V มาต่ออนุกรมกับ แบตขึ้นลบ และ สายขั้วลบที่ถอดออก ถ้าไฟมันติด แสดงว่ามีไฟรั่วลงกราวด์ จะมากจะน้อยดูที่ความสว่างของไฟได้เลย
วันที่: 25 Nov 10 - 16:32

 ความคิดเห็นที่: 4 / 10 : 606990
โดย: Gapmy
ขอบคุณครับพี่ภู

ลองเช็คแล้วไม่มีไฟรั่วครับ ทั้งเครื่องวัด และ แบบหลอดไฟ

แต่มีปัญหาเวลาเปิดไฟหน้า แอร์ และเหยียบเบรค จะเกิดอาการโหลดเยอะมากผิดปกติครับ เลยคิดว่าจะ

ลองหาวิธีเดินกราวด์ดู เพราะตัวผมเองรู้สึกว่ากราวด์ของผมบางส่วนอาจมีเสื่อม ทำให้กราวด์ไม่พอ

ไฟจึงเกิดการฉุดมาก เลยอยากได้วิธีต่อสายกราวด์เพิ่มให้ถูกวิธีและสเถียรไม่เกิดอาการloop เนื่องจาก

ต่อกราวด์หลายที่และ สายมีขนาดยาวต่างกันเกินไป
วันที่: 25 Nov 10 - 20:19

 ความคิดเห็นที่: 5 / 10 : 607010
โดย: เด็กน้อย
รบกวนถามคุณGapmyหรือท่านที่ทราบครับ ถ้าไม่มีโหลดแบบหลอดไฟ แล้วใช้Digital Multimeterวัดได้ไหมครับ วัดยังงัยครับ เอาเข็มมิเตอร์แดงไปแตะขั้วbatt-และเอาเข็มมิเตอร์ดำไปแตะสายสายกราวด์ใช่ไหมครับ ถ้าใช่ ที่มิเตอร์จะตั้งการวัดไว้ที่โหมดใด วัดแรงดันหรือวัดกระแส รบกวนช่วยอธิบายทีครับ
วันที่: 25 Nov 10 - 21:49

 ความคิดเห็นที่: 6 / 10 : 607023
โดย: Gapmy
ถ้าจำไม่ผิดตอนช่างวัดให้ ก็ปรับวัดกระแสไฟแบบปกติตอนที่ช่างวัดไฟว่าแบตจ่ายไฟเท่าไหร่ ที่แตะขั้วบวกกับลบ

แต่ในกรณีเช็คไฟรั่ว ให้ถอดแบตขั้วลบออก

เอาขั้วบวกสีแดงของเครื่องวัดแตะไปที่สายขั้วแบตลบที่ถอดออก

แล้วเอาขั้วลบสีดำแตะไปที่ขั้วลบของแบตครับ

ถ้า หลอดไฟมีแสงสว่างออกมา แสดงว่า มีไฟรั่วลงกราวนด์ ให้หาจุดรั่วให้เจอ โดยใช้วิธี ถอดฟิวส์ออกทีละตัว ถ้าฟิวส์ไหนถอดออกแล้ว หลอดไฟแสงสว่างดับ แสดงว่า เป็นที่ระบบไฟของฟิวส์ตัวนั้น จากนั้นค่อยไล่หาตามสายไฟครับ

ถ้าหลอดไฟไม่มีแสงสว่าง แสดงว่า ไม่มีไฟรั่วลงกราวนด์ครับ ก็ต้องไปไล่หาประเด็นปัญหาข้อ 1 หรือ ข้อ 3 ครับ
วันที่: 25 Nov 10 - 22:42

 ความคิดเห็นที่: 7 / 10 : 607024
โดย: Gapmy
ถ้าเป็นมิเตอร์ก็ดูครับว่ามีกระแสไฟส่งมาเท่าไหร่แทนความสว่างของหลอดไฟ

ความรู้ก็มาจาก google ทั้งนั้นเลยครับ แต่เนื้อหาของผมด้านบน ยังหาที่ชัดเจนไม่ได้เต็มที่ แหะๆ

วันที่: 25 Nov 10 - 22:49

 ความคิดเห็นที่: 8 / 10 : 607342
โดย: Yut13
ระวังอย๋าสับสนกับกระแสที่อุปกรณ์บางอย่างใช้งานตอนเครื่องดับเช่นหน่วยความจำของวิทยุนาฬิการวมถึงกล่องแต่จะน้อยอยู่ในระดับมิลิแอมป์เท่านั้น
ก่อนอี่นเช็คไฟฟ้าให้ได้แรงดันมาตรฐานวัดที่ขั้งแบตให้ได้ 14.x ไม่เกิน 14.7 โวลท์ก่อนเลยระบบต่างๆต้องการ 12-13 โวลท์ตรงฟิวส์จะดรอปไป 2 โวลท์ตามธรรมชาติเหลือออกไปที่ต่างๆ 12 กว่าๆ
ระบบต่างๆก็ทำงานถูกต้องแล้วแล้ว
วันที่: 27 Nov 10 - 09:12

 ความคิดเห็นที่: 9 / 10 : 607535
โดย: BawXSpeed
ผมไม่รู้ว่าทำถูกหรือเปล่านะครับ แต่ เคยได้ยินว่า พวกต่อเครื่องเสียงรถยนมาใหม่ๆเลย KL นี่แหละครับ เปิดดังมากๆ กล่อง ECU พังเลยครับ เขาไม่ได้ต่อ กราวต่างหากด้วยไงครับ เพราะกราวเดิมๆมีคนบอกว่า ต้องผ่าน ECU ก่อนครับ เลยทำให้ ECU ใหม้เลยครับ เพราะฉะนั้น ต่อกราวกับม้อแบต ดีที่สุดล่ะครับ ป้องกันได้หลายสาเหตุครับ ป้องกัน ECU พังน่ะอย่างหลักเลยล่ะครับ ต่อไปเลยครับอยากต่อตรงใหน ต่อโครงรถ ต่อ ที่ เครื่อง ไรที่เป็นขั่วลบ เพาเวอร์แอมป์ หรือไรก็ได้ครับ ถ้าคิดว่ารถคุณไม่รกจนเกินไปต่อเลยครับ รถผมก็ต่อ รถผมต่อที่ตัวถัง 4เส้น เกียร์ 1เส้น จานจ่าย 1เส้น ข้างๆไดชาร์ต ข้างๆ ปีกผีเสื้อ ด้วยครับ บนฝาเครื่องใกล้ๆหัวฉีดด้วยนะครับ เห็นผลเลยเร่งขึ้นดีดีครับ
ยิงตรงมาจากขั้วแบตทุกเส้นครับจะได้ไม่เป็นลูป รถผม เพาเวอร์แอม 3 ตัวครับ รวมก็กินไฟ เกือบๆ 150แอมอ่ะครับ เมียบอกว่าจะเอาดังใปใหนนิ ลำโพง ดอก 12นิ้ว 1คู่ ดอก 10นิ้ว 1คู่ แหลม 4 กลาง4 เท่านั้นเองครับไม่ได้มากไรเลย กับ แบต 90แอม 19แพลท 3 เคเองครับ ชิวๆครับ อ๋อ 12นิ้ว ตู้แดบพาสนะคับ ดอก10 ลำโพงปิดธรรมดาคับทำให้เสียงครบครับ ทำเองครับไม่ได้ไปร้าน เล่นเองมันๆครับผม จัดไปครับ
วันที่: 28 Nov 10 - 01:44

 ความคิดเห็นที่: 10 / 10 : 607552
โดย: srithanon
ก็ขอเข้ามาแจมให้ท่านเจ้าของกระทู้ได้เข้าใจ หลังจากที่มีเพื่อนๆได้เข้ามาให้คำแนะนำ ที่แตกต่างกันออกไป ก็เป็นสิ่งที่ดี หลายความคิดก็ดีกว่าความคิดเดียว
เรื่องของ ground loop หลายๆท่านก็เข้าใจกันไปคนละแบบคนละอย่างรวมทั้งตัวผมด้วย ก็ลองติดตามอ่านดู ที่เป็นประโยชน์ก็เก็บเอาไว้ เรื่องไหนมันไม่ค่อยตรงประเด็นก็อย่าเก็บเอาไว้ รอท่านอื่นมาให้ความกระจ่างต่อไป เพราะผมเองก็ยังต้องเป็นผู้เรียนรู้และติดตาม ผิดบ้างถูกบ้างก็ขออภัยเพื่อนๆที่นี้ด้วย
ก็มาทำความเข้าใจในเรื่องของ Ground loop ในเรื่องของไฟฟ้า หมายถึง อีเลคตรอนที่มีประจุเป็น ลบ และโปรตรอน มีประจุเป็น บวก ในสภาวะปกติ ของอะตอมที่เป็นกลาง คือจะมีประจุไฟบวกเท่ากับประจุไฟลบ การถ่ายเทของประจุไฟฟ้า ในแบ็ตเตอรีรถยนต์ เป็นการถ่ายเทของอีเลคตรอน ที่แผ่นทองแดง(ขั่วบวก) ทำให้แผ่นทองแดงนั้นสูญเสียอีเลคตรอน เกิดช่องว่าง(โฮล)ในธาตแผ่นทองแดง มีศักดิ์เป็นบวก อีเลคตรอนที่หลุดออกไปผ่านตัวนำทางไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็นสายไฟ หรือแชชซิซตัวถังรถที่ใช้เป็นตัวนำ ความจริงมันเป็นอีเลคตรอนที่มีค่าเป็นลบกำลังวิ่งผ่านตัวนำไปสู่ขั่วลบของแบ็ตเตอรี่ ผ่านขบวนการทางเคมีที่ตัวแบ็ตเตอรี่ ที่แผ่นทองแดงที่มีอีเลคตรอนหลุดออกไปเกิดช่องว่าง(โฮล) ก็จะถูกแทนที่ด้วยอีเลคตรอนที่วิ่งจากแผ่นตะกั่วขั่วลบของแบ็ตไปแทนที่ ทำให้กระแสไฟครบวงจร นี้เป็น loop ในการเคลื่อนที่ของอีเลคตรอน ที่ผ่านสารตัวนำ
ดังนั้นในความคิดของผม คำว่า Ground loop หมายความว่าการที่กระแสไฟเคลื่อนที่ผ่านตัวนำ แล้วทำให้อีเลคตรอนของสารหรือวัตถุธาตุนั้นๆ ไหลเข้าไปแทนที่ ช่องว่าง(โฮล) ของธาตที่อีเลคตรอนหลุดออกไป ทำให้เป็นกลางคือกระแสไฟบวกและลบเท่ากัน หรือนัยหนึ่งว่ากระแสไฟครบวงจร
ปัญหาก็มีอยู่ว่ามีหลายท่านเข้าใจว่า Ground loop คือการต่อสายไฟจากขั่วลบของแบ็ตเตอรี่ ไปยังอุปกรณ์ที่ใช้กระแสไฟของแบ็ตเตอรี่ ไม่ว่าจะเป็นที่อุปกรณ์เครื่องเสียง ระบบไฟ ต่างๆของรถยนต์ ควรจะต่อตรงดีไหม เพราะเข้าใจว่ามันจะทำให้กระแสไฟไหลได้สะดวก ถามว่าเข้าใจถูกต้องไหม ก็คงตอบว่าใช่ แต่ก็ไม่ถูกต้องในบทรวม จำไว้ว่ากระแสไฟฟ้าไม่ได้วิ่งภายในของสารที่เป็นตัวนำ มันวิ่งผ่านผิวของสารที่เป็นตัวนำ ที่เป็นเช่นนี้ที่ผิวของสารที่เป็นตัวนำจะมีความต้านทานของกระแสน้อยมาก ยิ่งมีพื้นที่ผิวของสารนั้นมาก ก็ยิ่งมีความต้านทานน้อยมาก ทำให้กระแสไฟวิ่งได้ดี
แต่ถ้าหากมีผิวของสารที่เป็นตัวนำน้อยมาก ก็จะยิ่งมีความต้านทานมากขึ้น มากขึ้นอย่างไร ยกตัวอย่างที่เห็นได้ชัดในเรื่องของขนาดของสายไฟ ที่นำไปใช้งาน หากเป็นสายไฟที่เป็นทองแดงเส้นเล็ก และถูกนำไปใช้กับโหลดที่ต้องการกระแสมากๆ จะทำให้เกิดความต้านทานในการไหลของกระแสจนเกิดความร้อนที่สายไฟและไหม้ขาดในที่สุด เพราะกระแสไหลผ่านผิวไปได้น้อย กระแสส่วนใหญ่ไหลผ่านผิวเส้นทองแดงไม่ได้ก็จะพยายามไหลผ่านภายในสายของเส้นทองแดง ซึ่งปกติมันมีความต้านทานของสายไฟเกิดขึ้นภายในอยู่แล้ว ทำให้เกิดความร้อนภายในตัวนำสายไฟ จึงเห็นว่าการนำสายไฟไปใช้ต้องคำนึงถึงกระแสที่ไหลผ่านเส้นลวดตัวนำนั้นๆเป็นหลัก เขาถึงกำหนดว่าสายไฟเบอร์อะไรถึงจะเหมาะกับการใช้กระแสที่โหลดนั้นๆต้องการ
จากข้อความที่ผมไฮไลท์ไว้ หลายท่านที่อ่านพอเข้าใจได้ว่า ทำไมเขาจึงต้องใช้ตัวถังหรือแชชซิซรถเป็นกราวด์ ก็เพราะว่ามีผิวที่อีเลคตรอนหรือกระแสไฟผ่านได้ดี มีจำนวนมาก และไม่ใช่แค่ความดีของตัวแชชซิซตัวถังรถที่มีให้ แต่มันยังมีปัจจัยอื่นๆอีกที่เอื้ออำนวยในเรื่องของสัญญาณรบกวนทางกระแสไฟฟ้า ทั้งที่เป็นแบบสแตติคและการชักนำจากสัญญาณคลื่นวิทยุที่มีขนาดความแรงของสัญญาณคลื่นเป็นพันๆเท่าของสัญญาณคลื่นปกติ ที่ได้จากการสปาร์คของหัวเทียนและจากการสปาร์คของแปลงถ่านที่ตัวไดน์ชาจ แล้วถามว่าในปัจจุบันหลายๆท่านที่เป็นเจ้าของรถพยายามที่จะสรรหาเรื่องสายกราวด์เพิ่มเติม โดยคิดว่าจะดีกว่าที่ทางผู้ผลิตเขาออกแบบมา ก็ต้องพิจาณากันไป เดินสายกราวด์นะก็ดี แต่บางครั้งก็ไม่มีประโยชน์อะไร นอกจากความสวยงาม ยกเว้นกรณีบางอย่างที่จำเป็นต้องใช้ ให้คิดว่าหากดีจริงดังที่หลายๆท่านไปติดตั้งระบบสายกราวด์ให้กับเครื่องยนต์ ทำไมรถยนต์คันละหลายๆล้าน หรือทั่วไปทำไมเขาจึงไม่ติดตั้งมาจากโรงงานล่ะ
ถามว่าไม่มีส่วนดีเลยหรือ มีครับเหมาะสำหรับรถยนต์เก่าๆ ที่มีบอดี้ตัวถังผุๆเป็นสนิมอะไรเทือกนี้แหละครับก็จะเป็นประโยชน์ ผมคงไม่มีเจตนาที่จะไม่เห็นด้วยกับหลายๆท่านที่ติด แล้วแต่ความชอบของแต่ละท่าน ผมมิกล้าร่วงเกินครับ
วกกลับเข้ามาที่เจ้าของกระทู้ถามว่า รู้สึกว่ารถตัวเองใช้กระแสไฟมากไป อยากให้คำแนะนำดังนี้
ปกติรถทั่วๆไปการใช้กระแสไฟจะถูกกำหนดค่อนข้างแน่นอนว่า อุปกรณ์ภายในรถและส่วนประกอบอื่นใช้กระแสเท่าใดอย่างไร คุณเองคงได้สังเกตมาบ้างถึงให้ความรู้สึกว่ารถใช้กระแสไฟมากผิดปกติ เช่นเปิดไฟหน้ารถ เปิดแอร์ เล่นเครื่องเสียง สิ่งเหล่านี้หากไม่ผิดปกติจะไม่ใช้กระแสมาก นอกจากจะเกิดการรั่วของกระแสไฟหรือช๊อร์ทในบางเซอร์กิทของวงจรไฟ เราสามารถที่จะตรวจวัดพิสูจน์ได้ แต่หลายๆครั้งก็เป็นเพราะว่าแบ็ตเตอรี่มีปัญหาเสื่อม เวลาจ่ายกระแสไฟจะตก
ทำให้ระบบแสงสว่างลดลง จริงๆแล้วเอาบทสรุปมาใช้ก่อนก็ได้ ขอยืมแบ็ตของรถเพื่อนๆที่ใหม่ๆสถาพปกติและมีขนาดเท่ากันมาลองสับเปลี่ยนดูก็จะรู้ปัญหาที่เกิดขึ้น สำหรับวิธีการตรวจเช็คเรื่องกระแสไฟลีคหรือชอร์ท ทำให้กระแสไฟลดลงให้ทำดังนี
ให้หาแอมป์มิเตอร์ ที่สามารถเลือกสเกลการอ่านและวัดกระแสไฟได้ ตั้งแต่ 5-10 Amp อาจจะใช้มิเตอร์ของยี่ห้อ ซิมสันก็ได้ เพราะอ่านได้ละเอียดดี มีตั้งแต่สเกลวัดค่ากระแสไฟตั้งแต่ 1 Ma, 10Ma ,100Ma,500Ma และ 10Amp ในที่นี้แนะนำให้ใช้ 10Amp
ให้ถอดสายไฟที่ขั้วบวกของแบ็ตเตอรี่ออก
ที่ตัวมิเตอร์ซิสัน ให้ตั้งสเกลวัดกระแสไฟที่ 10Amp สายบวกสีแดงของมิเตอร์ย้ายจากตำแหน่งบวกที่เสียบคู่กับลบ ย้ายมาเสียบที่ +10A และสายลบสีดำของมิเตอร์ ย้ายมาเสียบที่ช่องเสียบ-10A
ให้นำสายมิเตอร์บวกสีแดงมาหนีบไว้ที่ขั่วบวกของแบ็ตเตอรี่ แทนสายไฟเดิมที่เอาออก และสายลบสีดำของมิเตอร์นำมาหนีบไว้กับกราวด์ตัวถังรถ ในช่วงนี้ที่กุญแจรถอยู่ที่ตำแหน่ง off นะครับ อย่าสตาร์ทเครื่องเด็ดขาด เดี๋ยวมิเตอร์ผัง แต่ของยี่ห้อซิมสันดีกว่ายี่ห้ออื่น ที่มีวงจรโพรเท็ค ป้องการการวัดกระแสเกิน
ช่วงนี้ถ้าหากมีกระแสขึ้นมาบ้างนิดหน่อยอย่าตกใจ มันควรจะขึ้นไม่เกิน 50 Ma เพราะในระบบไฟที่ต่อตรงไม่ผ่านสวิชกุญแจก็มีพวกไฟเลี้ยงนาฬิกาของรถยนต์และอุปกรณ์เครื่องเสียงที่มีการเก็บเมมโมรี่ของบางโปรแกรมเอาไว้
ในกรณีที่มีกระแสอ่านได้มากกว่า 1-5 AMP ให้คิดว่าผิดปกติ เกิดการรั่วของกระแสไฟ ให้เราทดลองถอดสายไฟที่ไปใช้กับอุปกรณ์เครื่องเสียงทีละชุด แต่ละชุดก็ให้คอยอ่านค่ากระแสที่วัดได้ว่าลดลงหรือไม่ ทำทีละชุดก็จะพบครับว่าเกิดการรั่วของกระแสไฟที่อุปกรณ์ตัวไหน นี้ก็เป็นขั้นตอนอย่างง่ายๆสำหรับการตรวจเช็คการรั่วของกระแสไฟ
สำหรับขอแนะนำเพิ่มเติมท้ายนี้ก็อยากให้คุณมองประเด็นไปที่แบ็ตเตอรี่ ว่าเสื่อมเก็บไฟไม่อยู่หรือไม่ ในกรณีที่มีโหลดการใช้กระแสไฟมันโวลมันจะตกทำให้ระบบไฟตกแสงสว่างรถลดลง รวมทั้งมีผลต่อรอบเครื่องยนต์ด้วย ก็มีข้อคิดให้อ่านดูว่ามีส่วนต่างใดจากเพื่อนๆบ้าง ที่มีประโยชน์ก็รับฟังไว้ไม่เป็นประโยชน์ก็อย่าไปใส่ใจครับ ลองดูท่านอื่นๆให้ข้อมูลเพิ่มเติมต่อไปครับ…srithanon
วันที่: 28 Nov 10 - 10:58